วันจันทร์, ธันวาคม 25, 2549

คำไม่คม

"ผมไม่ซื้อเสื้อผ้าใส่มา 15 ปีแล้ว ผมยังมีใส่อยู่เลย"
3 ธันวาคม 2549
พี่โจน จันได
ฟังแล้วมานั่งนึกๆ เออ สงสัยจะจริง ถ้าไม่ซื้อเสื้อผ้าไปอีก 15 ปีเชื่อแน่ว่าคงยังมีพอใส่แน่ๆ ว่าม่ะ :)
You Are Me
You are me and I am you.
It is obvious that we are inter-are.
You cultivate the flower in yourself
so that I will be beautiful.
I transform the garbage in myself
so that you do not have to suffer.
I support you you support me.
I am here to bring you peace
you are here to bring me joy.
Thich Naht Hahn

Lesson today :To really see is To get rid of the thought of being individual. Quietly and slowly I started to see after all those time I only take a look . My dear friend please let my eyes truely opened.

MeRry cHrisTMas EverY bOdy :)

วันศุกร์, ธันวาคม 22, 2549

เรียนพิเศษ

ครูปู่แกนนำกลุ่มซ.โซ่ ด้านหลังคือน้องปอยสมาชิกกลุ่มเพราะรัก

บทเรียนกำลังเข้มข้น

โรงเรียนวันอาทิตย์ ไม่มีกำแพง ไม่มีหลังคา มีแต่ท้องฟ้ากับอากาศสดใส

สายๆของทุกวันอาทิตย์ เป็นวันที่โรงเรียนพิเศษแห่งนี้เปิดทำการ
จะเรียกว่าโรงเรียนเรียนพิเศษก็คงไม่ผิด เพราะโรงเรียนนี้ช่างพิเศษซะจริงๆ
ความพิเศษไม่ธรรมดานั้นเริ่มตั้งแต่ ห้องเรียนริมน้ำ ไม่มีกำแพงไม่มีกระดานดำ
นักเรียนก็มีตั้งแต่ ป.1ไปจนถึง ม.1คุณครูก็มีตั้งแต่อายุ 17 ไปจนถึง 71 ขวบ
วิชาที่เรียนก็มีไปตั้งแต่ เลข อังกฤษ ไทย ศิลปศึกษา
แต่ครูใหญ่ของโรงเรียนย้ำเสมอว่า วิชาหลัก ก็คือวิชาศีลธรรมและจริยธรรม
เด็กๆที่มาเรียนส่วนใหญ่คือเด็กที่อาศัยอยู่ในละแวกชุมชนคลองหลอด
เด็กบ้างคนผู้ปกครองก็ขายอาหารเป็นรถเข็นอยู่ละแวกนั้น
พ่อแม่เด็กๆส่วนใหญ่ส่งเด็กมาเรียน บ้างก็ช่วยดูแลรถของครูอาสาที่มาจอดให้ด้วย
โต๊ะและเก้าอี้ที่เรียนกัน พ่อของเด็กคนหนึ่งซึ่งขายก๋วยเตี๋ยวริมฟุตบาธ
ก็อนุญาตให้เรายืมใช้สถานที่กันได้ ด้วยเห็นความตั้งใจดีและประโยชน์ที่เด็กๆได้รับ
โดยทางกลุ่มซ.โซ่ ไม่เคยเรียกเก็บสตางค์ค่าใช้จ่ายใดๆ
ครูปู่ซึงเป็นแกนนำกลุ่มซ.โซ่เล่าว่าแกเป็นครูมาก่อนสอนหนังสือมาตลอด
เมื่อเกษียณจากราชการจึงยังคงสอนเด็กๆในละแวกบ้านซึ่งเป็นเด็กหลากหลาย
รูปแบบ เด็กๆส่วนใหญ่ยากจนและบางรายก็ขาดการดูแลที่ดีจากผู้ปกครอง
ส่วนด้ายเงินทุนทางกลุ่มก็ออกสตางค์กันเอง โดยไม่ได้มีการขอทุนจากองค์กรใดมาสนับสนุน
...
ด้วยความสงสัยใคร่รู้ว่าโรงเรียนของครูปู่นั้นเป็นอย่างไรกันแน่
สายๆของวันอาทิตย์วันหนึ่ง จึงได้แวะไปเป็นครูสมัครเล่นซักหน่อย
ถึงจะได้มีโอกาสไปเพียงไม่กี่ครั้ง แต่ทุกๆครั้งที่ไปโรงเรียน
แม้จะอาสามาเป็นคุณครู แต่ในขณะเดียวกันก็ได้เรียนรู้อะไรมากมายจาก
ห้องเรียนนี้ เราได้เรียนรู้ว่า จริงๆแล้วที่นี่ไม่มีครูและนักเรียน
แต่เราทุกคนมาเรียนรู้บางอย่างจากกันและกัน เราต่างก็เป็นนักเรียน
...
ในความคิดเห็นข้าพเจ้าคิดว่าเด็กกทม.อาจแบ่งอย่างหยาบๆออกได้เป็น 2 พวก
คือ เด็กขาด และ เด็กเกิน
เด็กที่ขาดก็มีหลากหลายรูปแบบและระดับของการขาด ขาดทรัพย์
ขาดการเอาใจใส่ ขาดความเข้าใจ ขาดผู้ดูแล ขาดความอบอุ่น ขาดความรัก
เด็กที่เกิน ก็เช่น กินมากเกิน สบายมากเกิน เล่นมากเกิน ถูกตามใจมากเกิน
ซึ่งตัวข้าพเจ้าจัดอยู่ในประเภทหลัง ข้อเสียของเด็กเกิน ก็คือ
การได้อะไรมาง่ายๆเสมอ ดังนั้นจึงไม่ค่อยเห็นคุณค่าของสิ่งที่ได้มาอย่างง่ายๆ
และไม่รู้จักความพอดี หากพวกเค้าถูกดูแลอย่างไข่ในหิน
และไม่เคยพบเจออีกด้านของสังคมที่ถูกพ่อแม่ป้องกันเอาไว้
เด็กๆเหล่านี้จะไม่เคยรู้ว่าตัวเองโชคดีแค่ไหนกับสิ่งที่ได้รับ
และไม่ตระหนักถึงพลังในตนเองที่สามารถแบ่งปันให้กับเพื่อนที่ขาดได้
ส่วนเด็กที่ขาด ซึ่งข้าพเจ้าก็เพิ่งจะเคยได้มีโอกาสเริ่มเข้าใจมากขึ้นก็วันนี้เอง
ในแต่ละครั้งที่ไปร่วมกิจกรรมก็ทำให้ได้รู้จักกับเด็กที่ขาดในหลายระดับ
เด็กที่ขาดทรัพย์แต่ก็ยังมีความอบอุ่น เด็กที่ขาดการดูและอย่างสมควร
แม้จะมีอายุเพียง4ขวบ แต่การพูดจาก้าวร้าว ด่าทอต่อยตีกันแรงๆ
สะท้อนให้เห็นถึงวิธีการเลี้ยงดูของผู้ปกครอง และตัวอย่างที่ทำให้เด็กทำตาม
ไปจนถึงเด็กที่ขาดซึ่งทุกๆอย่าง อย่างเช่น
เด็กวัยรุ่นคนหนึ่งที่เคยเป็นลูกศิษย์ครูปู่มาตั้งแต่เล็กๆ
แต่ตอนนี้เติบโตเป็นเด็กหนุ่มอายุ 18 แล้ว
ตอนที่เด็กหนุ่มคนนี้เดินเข้ามาและยกมือไหว้ครูปู่ มือข้างหนึ่งถือถุงพลาสติก
ใส่กางเกงยีนส์ตัวเดียว ทำให้เห็นถนัดว่า ตามตัวนั้นนอกเหนือไปจากรอยสัก
รูปต่างๆแล้ว เต็มไปด้วยรอยแผลเป็นจำนวนมาก
ซึ่งมีระยะเว้นและขนาดเท่าๆกัน ทำให้พอรู้ได้เลยว่าน่าจะเกิดจากการทำร้ายตัวเอง
เด็กหนุ่มพูดด้วยสีหน้าที่ไม่บ่งบอกอารมณ์ใด
ว่าเพิ่งกลับจากไปเยี่ยมเพื่อนซึ่งตีกันจนนอนอยู่ที่โรงพยาบาล
แรกเลยนั้นบอกตามตรงว่าก็รู้สึกว่าหากเจอคนเช่นนี้ตามถนน
ก็คงไม่อยากจะเข้าไปใกล้ หรือรู้สึกหวาดกลัว
เด็กหนุ่มจากไปหลังจากอยู่ให้ครูปู่ทักทายถามเกี่ยวกับเรื่องการงานและอบรมนิดหน่อย
...
ครูปู่เล่าให้ฟังว่า เด็กคนนี้มีกัน 4 คนพี่น้อง แต่ละคนมีพ่อไม่ซ้ำกันเลยเพราะ
แม่เปลี่ยนผัวไปเรื่อยๆ และไม่ดูแลลูกเลย ตอนนี้แม่ไม่รู้หายไปอยู่ที่ไหนแล้ว
ลูกๆก็ไปกันคนละทิศละทาง ติดยาบ้าง ฟันแทงกันบ้าง
ครูปู่บอกว่าเด็กพวกนี้มันไม่กลัวตำรวจหรอก มันดูรู้หมดว่าใครเป็นตำรวจ
แต่มันกลัวครูปู่ เราก็พยายามสอนได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้
แค่สอนอาทิตย์ละหนึ่งวันมันน้อยเกินไป เค้าต้องอยู่กับครอบครัวอีก6วันที่เหลือ
ครูปู่ก็บอกว่ายังไงๆซะถ้าไม่มีตังค์กินข้าวก็ให้มาบอกครูปู่
...
ถึงกับอึ้งไปในเรื่องราวที่เพิ่งฟังจบ
...
หนังสือพิมพ์บ้านเรามักชอบลงข่าวการตีกันแทงกัน ทำร้ายร่างกาย ฆ่ากันตาย
ผู้คนส่วนมากก็อ่านแล้ว ก็พูดกันเพียงว่า ต๊ายทำไมพวกนี้มันเลวอย่างนี้เลวอย่างนั้น
แล้วได้อะไรนอกจากความสะใจในการอ่านบ้างหรือไม่
แล้วมีใครซักกี่คนเคยได้เข้าใจถึงเหตุปัจจัยที่แท้ของเรื่องราวทั้งหมด
หากเราลองนึกภาพว่าเราเติบโตมาในสภาพอย่างเด็กคนนั้น
เค้าไม่เคยได้รับความรักจากพ่อแม่ ไม่มีการดูแลเอาใจใส่ ไม่เคยได้ความอบอุ่น
ไม่เคยพบความสว่าง หากต้องเติบโตมาในความมืดมิดอย่างนั้น
เค้าจะรู้จักความสว่างได้อย่างไร สิ่งที่เค้าทำลงไป เรียกได้ว่าเป็นความเลวอย่างบริสุทธิ์
และถึงแม้คนที่เลวที่สุดเค้าก็ยังต้องการความรักคาวเข้าใจไม่ต่างไปจากคนทั่วไป
...
โรงเรียนแห่งนี้สอนให้เราได้เข้าใจเด็กๆที่ขาดเหล่านี้มากขึ้น
ซึ่งทำให้ยิ่งเห็นถึงความสำคัญของการช่วยกันเติมเต็มความรักความเข้าใจ
ให้พวกเค้าเท่าที่พวกเราสามารถจะทำได้ด้วยความเต็มใจอย่างยิ่ง
และยังทำให้เราสำนึกในความโชคดีของตัวเอง
เมื่อเรามีมากเกินแล้วเหตุใดเราจึงจะไม่แบ่งปันให้กับคนที่ขาดเล่า
...
โรงเรียนของกลุ่มซ.โซ่ ซึ่งมีครูปู่และครูจิ๊บเป็นแกนนำ ร่วมกับน้องๆกลุ่มเพราะรัก
มีกิจกรรมปรกติก็คือ ทุกๆเช้าวันอาทิตย์ 9.00น.-11.00น.
จะทำการสอนที่บริเวณริมคลองหลอดหลังโรงแรมรัตนโกสินทร์
ย่านอนุเสาวรีย์ประชาธิปไตย และช่วงบ่ายจะย้ายไปทำการสอนให้กับเด็กๆ
ที่บ้านภูมิเวท ซึ่งเป็นสถานแรกรับเด็กเร่ร่อนชาย
ต้นปีหน้า มีโครงการที่จะขยายการสอนในวันเสาร์ด้วยซึ่งจะไปสอนโรงเรียนเด็กตาบอด ทางกลุ่มเปิดรับอาสาสมัครที่สนใจสามารถเข้ามาร่วมกิจกรรมกับทางกลุ่มได้เสมอ
...
การจุดไฟแม้จะเป็นไฟดวงน้อยๆแสงริบหรี่เพียงใดก็ตาม มีค่ายิ่งใหญ่เสมอสำหรับสถานที่อันมืดมิด

วันอังคาร, ธันวาคม 19, 2549

a poem of my day


You smiled and talked to me of nothing
and I felt that for this I had been waiting long.


Stray Birds

Rabindranath Tagore

วันอาทิตย์, ธันวาคม 17, 2549

.



ก็เพียงม่านบังตา

"เรื่องเล่าหนึ่งในอิสลาม กล่าวถึงชายผู้หนึ่ง ซึ่งถามเพื่อน ๓ คน ว่าหากเขาตาย เพื่อนจะช่วยอะไรเขาได้บ้าง คนแรกตอบว่าจะเตรียมโลงและผ้าห่อศพให้ คนที่สองตอบว่าจะช่วยแบกโลงไปที่หลุมฝังศพ ส่วนคนที่สามตอบว่าจะลงไปอยู่เป็นเพื่อนในหลุมฝังศพและช่วยตอบคำถามต่อเทวทูต เพื่อนทั้งสามคนเป็นดังอุปมาของสิ่งที่ติดตามตัวเราไปได้เมื่อตายแล้ว เพื่อนคนแรกคือทรัพย์สินเกียรติยศ เพื่อนคนที่สองคือครอบครัวญาติพี่น้อง ส่วนเพื่อนคนสุดท้ายก็คือ อาม้าล หรือกรรมดีกรรมชั่วนั่นเอง ความตายในอิสลามก็มิใช่ความตายเชิงปัจเจก หากยังมีความอยุติธรรมในสังคม มีความบีบคั้นเบียดเบียน ชาวมุสลิมย่อมไม่อาจดูดายได้เช่นกัน ดังถ้อยคำในพระคัมภีร์ที่ว่า “จะเข้านอนได้อย่างไร หากเพื่อนบ้านยังหิวอยู่” "

อ่านบทความทั้งหมดที่ http://jitwiwat.blogspot.com/2006/09/blog-post_24.html

เมื่อก่อนเราเป็นคนที่ไม่เคยได้มีความรู้เรื่องหลักคำสอนของชาวมุสลิมเลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาที่ได้มีโอกาสลงไปสงขลาและพบกับน้องๆกลุ่มเยาวชนใจอาสาซึ่งทำงานลงพื้นที่ลงไปให้ความช่วยเหลือทางจิตใจกับชาวบ้านที่ได้รับความบาดเจ็บ หรือแม้กระทั่งคนในครอบครัวเสียชีวิต โดยไม่ได้ทำอะไรผิดอย่างที่โดนกล่าวหา นับเป็นครั้งแรกที่ได้มีเพื่อนๆเป็นชาวมุสลิม และได้เห็นว่าเราก็เหมือนกันนั่นเอง หลังจากนั้นจึงได้เริ่มมีโอกาสอ่านบทความหรือคำสอนในอัลกุรอานบ้างถึงจะไม่มากนัก แต่ก็ทำให้รู้สึกว่าชาวมุสลิมมีหลักคำสอนที่น่ายกย่องเป็นอย่างมากและเป็นหลักคำสอนเพื่อความสงบสุขของสังคมไม่ต่างไปจากคำสอนของพุทธศาสนา
ในความเห็นส่วนตัวแล้วอยากให้ทุกคนไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด หรือแม้แต่คนที่ไม่ระบุตัวเองว่านับถือศาสนาใดอย่างเช่นตัวเราก็ตามเปิดใจเพื่อที่จะศึกษาวิถีความคิดของคนในศาสนาอื่นๆบ้าง น่าจะทำให้เรามีอัตตาเล็กลงรวมถึงเข้าใจกันและกันมากขึ้น ซึ่งความเข้าใจซึ่งกันและกันนั้นน่าจะเป็นบ่อเกิดแห่งสันติภาพอย่างแท้จริง

หากใครอยากติดตามข่าวสารความเป็นไปของภาคใต้ขอแนะนำ เว็บไซด์ศูนย์ข่าวอิศรา อีกที่ที่อาจจะได้รับรู้เรือ่งราวอย่างที่เป็นไป
http://www.tjanews.org/cms/
ปล.น้องๆชาวเยาวชนใจอาสาสู้ต่อไปน่ะจ๊ะ คงจะได้เจอกันอีกแน่เร็วๆนี้

วันพฤหัสบดี, ธันวาคม 14, 2549

ได้รับแล้วน่ะ

ทุ่งแสลงหลวง
by nattapong
10-12-2006

ซึ้งใจมากๆ กับโปสการ์ดภาพสีน้ำที่เพื่อนตั้งใจวาดเองส่งมาให้
ทั้งที่ไม่เคยเอ่ยขอ แต่เพื่อนยังอุตส่าห์ใส่ใจกับสิ่งที่เราชอบ
แล้วก็ตั้งใจจริงๆ ภาพนี้สวยและมีชีวิตมากจริงๆ
ยังรู้อีกว่าเพื่อนเคยพยายามส่งมาหลายทีแต่ส่งมาไม่ถึง
น้ำใจและความรู้สึกดีๆอันนี้จะไม่ลืมเลือนเลย
ขอบคุณกับความรักความห่วงใยและหวังดีที่มีให้เสมอ
ขอโทษถ้าเคยได้ทำให้เพื่อนเสียใจอะไรไป
ภาพสวยอย่างงี้ขอให้คนวาดมีความสุขมากๆจ๊ะ

วันเสาร์, ธันวาคม 09, 2549

Beginning Anew

มองเห็นชั้นมั้ย มุมซ้ายๆ ฮิ ฮิ
3 ธันวาคม 2549

เป็นค่ายแรกที่ไปแล้วตั้งแต่วันไปจนวันกลับแทบไม่ได้เปิดปลอกปากกาออกเพื่อขีดเขียนอะไรซักอย่าง แล้วก็ไม่ได้ถ่ายรูปซักใบ
ส่วนหนึ่งก็เพราะมีอะไรทำตลอดเวลา หรือไม่จริงๆแล้วก็เพราะรู้สึกว่าแค่ ณ ขณะปัจจุบันตรงนั้นก็พอแล้ว :)
โดยส่วนลึกแล้วกิจกรรมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการภาวนา นั่งสมาธิ เดินจงกรม ฟังธรรมะบรรยาย แลกเปลี่ยน ลงพื้นที่ย่ำดิน ทำอิฐ หรือแม้กระทั้งล้างจาน
ทำให้รับรู้ถึงความใสและขุ่น วุ่นและว่าง ค้างและคลาย วนเวียนสลับกันไปมา หรือบางทีแทบจะเป็นหนึ่งเดียวกัน
ฉันรู้ว่าฉันเข้าใจ แต่ยังไม่ยอมรับมัน หรือเปล่าน่ะ?
ไม่ใช่ใครที่ทำให้ฉันผิดหวัง หรือเสียใจ
แต่เป็นความคิดหรือภาพที่ฉันสร้างขึ้นมาเองที่ทำร้ายใจ
ฉันอยากที่จะเข้าไปอยู่ในเนื้อหนังมังสาของเธอ
เพื่อที่จะเข้าใจเธอ และยอมรับเธออย่างที่เธอเป็น
ฉันอยากจะขอบคุณเธอ และขอโทษเธอในเวลาเดียวกัน
ฉันอยากจะปล่อยเธอไป เพื่อที่เราจะมีกันและกันตลอดไป
ยิ้มและความปราถนาดีของชั้นมีไว้เพื่อให้เธอเสมอ
คิด ว่า รัก