ครูปู่แกนนำกลุ่มซ.โซ่ ด้านหลังคือน้องปอยสมาชิกกลุ่มเพราะรัก
บทเรียนกำลังเข้มข้น โรงเรียนวันอาทิตย์ ไม่มีกำแพง ไม่มีหลังคา มีแต่ท้องฟ้ากับอากาศสดใส สายๆของทุกวันอาทิตย์ เป็นวันที่โรงเรียนพิเศษแห่งนี้เปิดทำการ
จะเรียกว่าโรงเรียนเรียนพิเศษก็คงไม่ผิด เพราะโรงเรียนนี้ช่างพิเศษซะจริงๆ
ความพิเศษไม่ธรรมดานั้นเริ่มตั้งแต่ ห้องเรียนริมน้ำ ไม่มีกำแพงไม่มีกระดานดำ
นักเรียนก็มีตั้งแต่ ป.1ไปจนถึง ม.1คุณครูก็มีตั้งแต่อายุ 17 ไปจนถึง 71 ขวบ
วิชาที่เรียนก็มีไปตั้งแต่ เลข อังกฤษ ไทย ศิลปศึกษา
แต่ครูใหญ่ของโรงเรียนย้ำเสมอว่า วิชาหลัก ก็คือวิชาศีลธรรมและจริยธรรม
เด็กๆที่มาเรียนส่วนใหญ่คือเด็กที่อาศัยอยู่ในละแวกชุมชนคลองหลอด
เด็กบ้างคนผู้ปกครองก็ขายอาหารเป็นรถเข็นอยู่ละแวกนั้น
พ่อแม่เด็กๆส่วนใหญ่ส่งเด็กมาเรียน บ้างก็ช่วยดูแลรถของครูอาสาที่มาจอดให้ด้วย
โต๊ะและเก้าอี้ที่เรียนกัน พ่อของเด็กคนหนึ่งซึ่งขายก๋วยเตี๋ยวริมฟุตบาธ
ก็อนุญาตให้เรายืมใช้สถานที่กันได้ ด้วยเห็นความตั้งใจดีและประโยชน์ที่เด็กๆได้รับ
โดยทางกลุ่มซ.โซ่ ไม่เคยเรียกเก็บสตางค์ค่าใช้จ่ายใดๆ
ครูปู่ซึงเป็นแกนนำกลุ่มซ.โซ่เล่าว่าแกเป็นครูมาก่อนสอนหนังสือมาตลอด
เมื่อเกษียณจากราชการจึงยังคงสอนเด็กๆในละแวกบ้านซึ่งเป็นเด็กหลากหลาย
รูปแบบ เด็กๆส่วนใหญ่ยากจนและบางรายก็ขาดการดูแลที่ดีจากผู้ปกครอง
ส่วนด้ายเงินทุนทางกลุ่มก็ออกสตางค์กันเอง โดยไม่ได้มีการขอทุนจากองค์กรใดมาสนับสนุน
...
ด้วยความสงสัยใคร่รู้ว่าโรงเรียนของครูปู่นั้นเป็นอย่างไรกันแน่
สายๆของวันอาทิตย์วันหนึ่ง จึงได้แวะไปเป็นครูสมัครเล่นซักหน่อย
ถึงจะได้มีโอกาสไปเพียงไม่กี่ครั้ง แต่ทุกๆครั้งที่ไปโรงเรียน
แม้จะอาสามาเป็นคุณครู แต่ในขณะเดียวกันก็ได้เรียนรู้อะไรมากมายจาก
ห้องเรียนนี้ เราได้เรียนรู้ว่า จริงๆแล้วที่นี่ไม่มีครูและนักเรียน
แต่เราทุกคนมาเรียนรู้บางอย่างจากกันและกัน เราต่างก็เป็นนักเรียน
...
ในความคิดเห็นข้าพเจ้าคิดว่าเด็กกทม.อาจแบ่งอย่างหยาบๆออกได้เป็น 2 พวก
คือ เด็กขาด และ เด็กเกิน
เด็กที่ขาดก็มีหลากหลายรูปแบบและระดับของการขาด ขาดทรัพย์
ขาดการเอาใจใส่ ขาดความเข้าใจ ขาดผู้ดูแล ขาดความอบอุ่น ขาดความรัก
เด็กที่เกิน ก็เช่น กินมากเกิน สบายมากเกิน เล่นมากเกิน ถูกตามใจมากเกิน
ซึ่งตัวข้าพเจ้าจัดอยู่ในประเภทหลัง ข้อเสียของเด็กเกิน ก็คือ
การได้อะไรมาง่ายๆเสมอ ดังนั้นจึงไม่ค่อยเห็นคุณค่าของสิ่งที่ได้มาอย่างง่ายๆ
และไม่รู้จักความพอดี หากพวกเค้าถูกดูแลอย่างไข่ในหิน
และไม่เคยพบเจออีกด้านของสังคมที่ถูกพ่อแม่ป้องกันเอาไว้
เด็กๆเหล่านี้จะไม่เคยรู้ว่าตัวเองโชคดีแค่ไหนกับสิ่งที่ได้รับ
และไม่ตระหนักถึงพลังในตนเองที่สามารถแบ่งปันให้กับเพื่อนที่ขาดได้
ส่วนเด็กที่ขาด ซึ่งข้าพเจ้าก็เพิ่งจะเคยได้มีโอกาสเริ่มเข้าใจมากขึ้นก็วันนี้เอง
ในแต่ละครั้งที่ไปร่วมกิจกรรมก็ทำให้ได้รู้จักกับเด็กที่ขาดในหลายระดับ
เด็กที่ขาดทรัพย์แต่ก็ยังมีความอบอุ่น เด็กที่ขาดการดูและอย่างสมควร
แม้จะมีอายุเพียง4ขวบ แต่การพูดจาก้าวร้าว ด่าทอต่อยตีกันแรงๆ
สะท้อนให้เห็นถึงวิธีการเลี้ยงดูของผู้ปกครอง และตัวอย่างที่ทำให้เด็กทำตาม
ไปจนถึงเด็กที่ขาดซึ่งทุกๆอย่าง อย่างเช่น
เด็กวัยรุ่นคนหนึ่งที่เคยเป็นลูกศิษย์ครูปู่มาตั้งแต่เล็กๆ
แต่ตอนนี้เติบโตเป็นเด็กหนุ่มอายุ 18 แล้ว
ตอนที่เด็กหนุ่มคนนี้เดินเข้ามาและยกมือไหว้ครูปู่ มือข้างหนึ่งถือถุงพลาสติก
ใส่กางเกงยีนส์ตัวเดียว ทำให้เห็นถนัดว่า ตามตัวนั้นนอกเหนือไปจากรอยสัก
รูปต่างๆแล้ว เต็มไปด้วยรอยแผลเป็นจำนวนมาก
ซึ่งมีระยะเว้นและขนาดเท่าๆกัน ทำให้พอรู้ได้เลยว่าน่าจะเกิดจากการทำร้ายตัวเอง
เด็กหนุ่มพูดด้วยสีหน้าที่ไม่บ่งบอกอารมณ์ใด
ว่าเพิ่งกลับจากไปเยี่ยมเพื่อนซึ่งตีกันจนนอนอยู่ที่โรงพยาบาล
แรกเลยนั้นบอกตามตรงว่าก็รู้สึกว่าหากเจอคนเช่นนี้ตามถนน
ก็คงไม่อยากจะเข้าไปใกล้ หรือรู้สึกหวาดกลัว
เด็กหนุ่มจากไปหลังจากอยู่ให้ครูปู่ทักทายถามเกี่ยวกับเรื่องการงานและอบรมนิดหน่อย
...
ครูปู่เล่าให้ฟังว่า เด็กคนนี้มีกัน 4 คนพี่น้อง แต่ละคนมีพ่อไม่ซ้ำกันเลยเพราะ
แม่เปลี่ยนผัวไปเรื่อยๆ และไม่ดูแลลูกเลย ตอนนี้แม่ไม่รู้หายไปอยู่ที่ไหนแล้ว
ลูกๆก็ไปกันคนละทิศละทาง ติดยาบ้าง ฟันแทงกันบ้าง
ครูปู่บอกว่าเด็กพวกนี้มันไม่กลัวตำรวจหรอก มันดูรู้หมดว่าใครเป็นตำรวจ
แต่มันกลัวครูปู่ เราก็พยายามสอนได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้
แค่สอนอาทิตย์ละหนึ่งวันมันน้อยเกินไป เค้าต้องอยู่กับครอบครัวอีก6วันที่เหลือ
ครูปู่ก็บอกว่ายังไงๆซะถ้าไม่มีตังค์กินข้าวก็ให้มาบอกครูปู่
...
ถึงกับอึ้งไปในเรื่องราวที่เพิ่งฟังจบ
...
หนังสือพิมพ์บ้านเรามักชอบลงข่าวการตีกันแทงกัน ทำร้ายร่างกาย ฆ่ากันตาย
ผู้คนส่วนมากก็อ่านแล้ว ก็พูดกันเพียงว่า ต๊ายทำไมพวกนี้มันเลวอย่างนี้เลวอย่างนั้น
แล้วได้อะไรนอกจากความสะใจในการอ่านบ้างหรือไม่
แล้วมีใครซักกี่คนเคยได้เข้าใจถึงเหตุปัจจัยที่แท้ของเรื่องราวทั้งหมด
หากเราลองนึกภาพว่าเราเติบโตมาในสภาพอย่างเด็กคนนั้น
เค้าไม่เคยได้รับความรักจากพ่อแม่ ไม่มีการดูแลเอาใจใส่ ไม่เคยได้ความอบอุ่น
ไม่เคยพบความสว่าง หากต้องเติบโตมาในความมืดมิดอย่างนั้น
เค้าจะรู้จักความสว่างได้อย่างไร สิ่งที่เค้าทำลงไป เรียกได้ว่าเป็นความเลวอย่างบริสุทธิ์
และถึงแม้คนที่เลวที่สุดเค้าก็ยังต้องการความรักคาวเข้าใจไม่ต่างไปจากคนทั่วไป
...
โรงเรียนแห่งนี้สอนให้เราได้เข้าใจเด็กๆที่ขาดเหล่านี้มากขึ้น
ซึ่งทำให้ยิ่งเห็นถึงความสำคัญของการช่วยกันเติมเต็มความรักความเข้าใจ
ให้พวกเค้าเท่าที่พวกเราสามารถจะทำได้ด้วยความเต็มใจอย่างยิ่ง
และยังทำให้เราสำนึกในความโชคดีของตัวเอง
เมื่อเรามีมากเกินแล้วเหตุใดเราจึงจะไม่แบ่งปันให้กับคนที่ขาดเล่า
...
โรงเรียนของกลุ่มซ.โซ่ ซึ่งมีครูปู่และครูจิ๊บเป็นแกนนำ ร่วมกับน้องๆกลุ่มเพราะรัก
มีกิจกรรมปรกติก็คือ ทุกๆเช้าวันอาทิตย์ 9.00น.-11.00น.
จะทำการสอนที่บริเวณริมคลองหลอดหลังโรงแรมรัตนโกสินทร์
ย่านอนุเสาวรีย์ประชาธิปไตย และช่วงบ่ายจะย้ายไปทำการสอนให้กับเด็กๆ
ที่บ้านภูมิเวท ซึ่งเป็นสถานแรกรับเด็กเร่ร่อนชาย
ต้นปีหน้า มีโครงการที่จะขยายการสอนในวันเสาร์ด้วยซึ่งจะไปสอนโรงเรียนเด็กตาบอด ทางกลุ่มเปิดรับอาสาสมัครที่สนใจสามารถเข้ามาร่วมกิจกรรมกับทางกลุ่มได้เสมอ
...
การจุดไฟแม้จะเป็นไฟดวงน้อยๆแสงริบหรี่เพียงใดก็ตาม มีค่ายิ่งใหญ่เสมอสำหรับสถานที่อันมืดมิด