วันอาทิตย์, เมษายน 29, 2550

ปลาน่อย

หลังจากเมื่อวานบังเกิดความเสี้ยนขึ้นสูงที่อยากจะเลี้ยงปลาในห้องนอน
แม้เพื่อนฝูงส่ายหัวคัดค้านเป็นเสียงเดียวกันว่า สงสารปลา แกทำมันตายแน่ๆ
ถึงจะพยายามบอกยังไงว่า จักรปาณีนี่ถือเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเลี้ยงปลาคนนึงเลย ก็ไม่มีใครเชื่ออีก
ตอนกลางคืนถึงกับตั้งชื่อปลาน้อยไว้ในใจ
รุ่งขึ้นเหาะไปเจเจเพื่อไปหาปลาถูกใจมากเลี้ยงดูปูเสื่อ
ไม่คิดเลยว่าการหาซื้อปลาหน้าตาบ้านๆทนทานดินฟ้าอากาศ กินง่ายนอนง่าย เช่น พวกปลาหางนกยูงนี่มันจะยากเย็นแสนเข็ญ
เดี๋ยวนี้คนเค้านิยมเลี้ยงแต่พวกปลาทะเล แล้วก็สรรหาซื้อพวกดอกไม้ทะเล กุ้งหอย หน้าตาไฮโซจากทะเลลึก
ยังมีพวกนกเงือก นกแร้ง สารพัด สัตว์ป่า
ซึ่งผิดกฏหมายน่ะคร้าบบบบบบ แล้วก็ถือเป็นการกักขังหน่วงเหนี่ยวที่เห็นแก่ตัวจริงๆ
รับไม่ด้ายยยยยยยย
พวกมันไม่ได้เกิดมาเป็นสัตว์เลี้ยงซักหน่อย ทำไมไม่เลี้ยงปลาทอง ปลาหางนกยูง หมา แมว อะไรที่มันเป็นสัตว์สำหรับเลี้ยงหน่ะ
ไม่เข้าจายยย
สุดท้ายก็ได้ตกลงใจเอาเจ้าปลาบอลลูนจิ๋ว 6 ตัว กลับมาพร้อมอ่างดินและน้ำไม้น้ำหลายต้น
จัดเสร็จนั่งดูไปดูมา ปลาบอลลูนนี่ออกจะเอ๋อๆเหวอๆ ถูกใจจริงๆ
ว่ายไปกินอาหารก็พลาดเป้าตลอด พอเอาเข้าปากยังเผลอทำหลุดออกมา จนเพื่อนมาแย่งไปกินซะงั้น
อุตส่าห์แอบๆแล้ว แม่ก็ยังเห็นจนได้
ไม่น่าเชื่อว่าที่เดาไว้ว่าแม่จะบ่นว่าอะไรนั้น แม่นหยั่งกะท่องสคริปมา ฮ่าๆ
ฮิๆ กะลังเห่อ

วันพฤหัสบดี, เมษายน 26, 2550

แมงกระพรุนยักษ์


ตื่นเต้นไม่น้อยเลยเมื่อถึงนาทีที่จะต้องก้าวขึ้นไปบนเวที
นี่เราได้ขึ้นเวทีเดียวกับเจนิเฟอร์ คิ้ม พี่ฮาร์ท เบน ชลาทิศ ไอซ์ ศรันยู
และอีกหลายนักร้องฮิตของเวลานี้เลยทีเดียว
แม้ว่าจะแค่ขึ้นไปจัดโคมไฟประกอบฉากก็เหอะ
ตลกตัวเองที่ตื่นเต้น ฮา ไม่ได้ขึ้นไปร้องเพลง แต่ตอนก้าวขึ้นเวทีก็แอบตื่นเต้น
จะตื่นเต้นทำไม ก็ม่ายรู้ ฮ่าๆ
ไม่อยากจะเป็นโรคเพอร์เฟคชั่นนิส แต่พอเห็นงานมันเป็นแบบ เกือบๆ อีกนิดๆ
ก็อดหงุดหงิดใจไม่ได้กับงานที่ยังไม่เนี๊ยบสมใจ แต่ทุกอย่างก็วิ่งแข่งกับเวลาซะจน
ต้องเรียนรู้การทำใจให้รู้จักพอมากกว่า ว่ามันดีที่สุดได้เท่านี้สำหรับเวลาสั้นขนาดนี้
แค่นี้ก็อดหลับอดนอน หลายวันหลายคืน
ผลพลอยได้คือ ได้ดูคอนเสริตรอบซ้อมใหญ่ ชนิดติดขอบจอ
บวกกับความสนุกสนานในการทำงานกับเพื่อนๆ
แจ๋ว

วันอาทิตย์, เมษายน 22, 2550

หรือว่าอากาศร้อนเกินไป

ในวันที่อากาศร้อนอบอ้าว

คนหนึ่งเดินมาพร้อมแจกันแล้ววางไว้กลางโต๊ะ

อีกคนหนึ่งเอาน้ำมาเติมลงไป

ตามอุดมคติอีกคนน่าจะเอาดอกไม้มาปัก ห้องที่อึดอัดคงจะสว่างไสวขึ้น

แต่ไม่มีอะไรเหมือนในอุดมคติเสมอไป

อีกคนเดินมาปัดแจกันตกโต๊ะ แจกันแก้วแตก น้ำหกเลอะนองพื้น

ตามตรรกะอีกคนน่าที่จะเอาผ้ามาเช็ดและกวาดเศษแก้วแตก

แต่บางทีอะไรก็ไม่เป็นอย่างที่ควรจะเป็น

อีกคนเดินมาบอกทุกๆคนว่าได้เวลาอาหารแล้ว

จำเป็นมากที่เราจะต้องกินเข้าไป

ก็เลยจัดแจงเอาอาหารมาจัดไว้บนโต๊ะแทนที่แจกัน

เพราะคิดว่าดอกไม้ไม่สำคัญเท่าอาหาร

แต่ใครจะเดินมานั่งกินข้าวบนโต๊ะที่รอบๆมีแต่เศษแก้วแตกกับน้ำเปียกนองพื้นล่ะฟ่ะ

วันศุกร์, เมษายน 20, 2550

And we meet again

Years gone by and today we meet again.

It's not that I'm still in love with you but it's delicate.
I can't find a right word to explain how I feel seeing you not so fine like this.
Though I wish I could do anything to release your stress or ease your troubles,
I do not know how can I do such a thing.
And I know it's a hard time for you.

But I can't be there.
And you can't be here.

It's not that I'm still in love with you but I do care.

It's delicate.

วันพฤหัสบดี, เมษายน 19, 2550

แก้วเก่า หมาเน่า คนเหงา

กลายเป็นความเคยชินไปโดยไม่รู้ตัวว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่ตัวเองจะต้องแวะไปหาเพื่อนสองคนอยู่ทุกๆวันก่อนกลับเข้าบ้านในยามดึกดื่น ไม่เว้นแม้ซักวันเดียวก็ว่าได้ วันนี้ก็เช่นเคย เมื่อขับรถกลับบ้าน ไม่ได้หลงทางบนถนนอย่างที่เป็นบ่อยๆ แต่กลับหลงหายไปในความเวิ้งว้างข้างในแทน

วันนี้เพื่อนคนแรกไม่อยู่ที่เดิม ที่ๆเค้าเคยอยู่ เพื่อนที่ว่าก็คือเจ้าหมาดำไร้บ้านนั่นเอง หากใครแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนบล็อคนี้ตั้งแต่สมัยก่อนยุคหิน ก็อาจจะเคยพอคุ้นๆ กับเรื่องที่เราเคยเขียนถึงเจ้าเพื่อนคนนี้ เค้าคือเจ้าหมาดำ ชอบเห่าดังลั่นน่ากลัว เราเองถือตัวว่าเป็นเพื่อนซี้เค้า ยังไม่กล้าเดินใกล้เลย แต่ทุกๆค่ำคืนที่ขับรถกลับบ้าน เราจะต้องจอดขอผ่านทาง ห้องนอนแสนสุขกลางถนนในซอยของเจ้าหมาน่อย อย่างสำนึกว่า เพราะเราผิดเองที่กลับดึกเกินเวลา เลยต้องรบกวนเวลานอนของเค้า ก็เป็นอย่างนั้นทุกวันที่จะจ้องจอด หยุด ปิดไฟหน้ารถไม่ให้แสบตาเค้า เค้าก็จะค่อยๆลุกขึ้นเดินช้า ช้า ชิว ชิวไปหลบข้างทาง เราก็ผ่านไป จึงค่อยเปิดไฟหน้ารถได้อีกครั้ง.......แต่วันนี้แปลกจริงๆ ไม่รู้ว่าดึกแล้ว เค้าหายไปไหนน่ะ

แต่เพื่อนอีกคน เพื่อนคนนี้มั่นใจได้ว่าเค้าจะรอ รออยู่ตรงที่เดิมเสมอ ไม่เคยไปไหน เค้าจะรอทักเราถึงหน้ารั้วบ้านเชียวหล่ะ เค้าก็คือเจ้าต้นแก้วยักษ์เหนือบ่อเลี้ยงเต่าที่โผล่ออกมาจากรั้วของป้าพิมคุณป้าข้างบ้าน ถึงคนอ่านอาจจะเบื่อที่กำลังจะขอสาธยายได้ แต่ก็ขอซะหน่อย จะบอกว่าไม่ได้โม้น่ะครับ เพื่อนเราคนนี้เจ๋งสุดๆ เราไม่เคยเห็นต้นแก้วที่ไหนจะสูงใหญ่เท่านี้ กะจากสายตาน่าจะประมาณ 6 เมตรได้ จำได้ว่าเห็มาตั้งแต่ตัวเองจำความได้เลยทีเดียว ยังไม่พอ เราไม่เคยเห็นต้นแก้วที่ไหนจะออกดอกไม่เกรงใจใครขนาดนี้มาก่อน เวลาเค้าออกดอกที บานพอๆกับซากุระ เดาเอาเองว่าอาจจะงอกงามได้ขนาดนี้เพราะปุ๋ยมูลเต่าเพื่อนของเจ้าแก้วอีกที สีขาวของเจ้าดอกแก้วขาวจนเหมือนอยากจะท้าทายความมืดของกลางคืนยังไงยังงั้น กลิ่นของเค้าที่บานทีล่ะเป็นพันๆดอกทำให้ลอยไปไกลเป็นสิบๆเมตร ยังขอย้ำว่าไม่ได้โม้จริงจริ๊ง ทุกๆวันไม่ว่าจะกลับบ้านเวลาไหน ขณะที่จอดรอประตูบ้านเปิด ก็จะต้องส่งสายตา ส่งใจไปคุยทักทายเพื่อนซี้คนนี้
เพื่อนคนนี้เค้ามีทั้งความเปราะบางและความไม่เคยท้อถอยอยู่ในตัวเอง คือแม้ว่าดอกแก้วนั้นจะเป็นดอกไม้ที่บอบบางมากและก็มีช่วงที่ได้สดใสเพียงสองค่ำคืน ในคืนที่สาม แค่ลมที่พัดผ่านมาบางๆ เจ้าดอกแก้วก็จะพร้อมใจกันละจากช่อลง แต่เค้าก็ไม่เคยย่อท้อ กลับเหมือนจะยิ่งพยายามออกดอกให้มากยิ่งกว่าเดิมในเพียงอีกสาม สี่ สัปดาห์ต่อมา ที่รักเจ้าต้นแก้วมากที่สุดก็คงจะเป็นตรงที่ เค้าอยู่ตรงนั้นเสมอๆ เพื่อนคนนี้นี่เองที่คอยส่งกลิ่นทักทายเรา คอยส่งความเขียวขจีของหมู่ใบมาให้เย็นสายตา มนุษย์กลางคืนกลับบ้านยามวิกาล ยามที่ชาวบ้านต่างหลับไหลกันหมดแล้วอย่างเรา

ค่ำนี้หลังจากหลงทางในใจ และขับไปบนเส้นทางเดิมๆ จนแล้วจนรอดก็พาตัวเองมาถึงหน้าประตูบ้านได้ ก็ต้องแปลกใจ วันนี้แปลกจริง เพื่อนซี้คนแรก กำลังยืนอยู่ข้างๆเพื่อนซี้คนที่สอง อดโมเมไปเองไม่ได้ว่ามารอเราใช่มั้ยล่ะ อดคิดเอาเองไม่ได้ว่าเพื่อนช่างรู้ใจจริงๆ ว่าเราต้องการพวกเค้าในค่ำคืนแบบนี้ วันนี้เจ้าหมาดำคงเหงาเหมือนเราเลยมาเดินเล่นนวยนาดอยู่จนดึกดื่น และเจ้าต้นแก้วยักษ์ก็ดูไม่สดใสเท่าไหร่ ที่พื้นเกลื่อนไปด้วยกลีบดอกร่วงโรยของเค้า อดที่จะยิ้มๆ กับวันพิเศษนี้ไม่ได้ ถึงจะเหนื่อยล้ายังไง แต่พวกเค้าก็มารอเราอยู่


วันที่ไม่สดใส เพื่อนยังเป็นกำลังใจให้กันเสมอ
จะมีอะไรดีกว่านี้ได้อีกน่ะ

ปล.ขณะที่นั่งเขียนบล็อคอยู่นี้ ก็ดีใจจริงๆที่ในที่สุดก็รู้เท่าทันความอ่อนไหวสุดเหวี่ยงชนิดไร้สาเหตุในวันนี้ของตัวเองได้......จะอะไรได้อีก ไม่พ้นเจอฮอร์โมนเล่นงานอีกแล้วสิเรา อามิตตาพุทธๆ เฮ่อ เจอกันเดือนล่ะครั้งพอน่ะ อ่อนไหวมากกว่านี้ม่ายหวายแล้ววววววววววววววววว

วันพุธ, เมษายน 18, 2550

A dream at night

fools me

Its' words,
whispered
and shouted

Its' vision,
uncensored

Its' joke,
shed my tears
and shook my heart

Its' visit,
flashed

A naked victim,
I am.

Can I wear a gun while I sleep?

วันอาทิตย์, เมษายน 15, 2550

Languages of the same truth

What is the mirror of Being? Non-being.
Bring non-being as your gift,
if you are not a fool.
: Jelaluddin Rumi
from Rumi Daylight
What we call non-living makes what we call living beings possible.
If we destroy the non-living, we also destroy the living.
: Thich nhat hanh
from The Diamond that cuts through illusion

วันเสาร์, เมษายน 14, 2550

Gatekeeper


Well its time to begin as the summer sets in

It's the scene you set for new lovers

You play your part painting it a new start

But each gate will open another

June July and August said

"Its probably hard to plan ahead"

June July and August said,

"Its better to bask in each other"

Gatekeeper seasons wait for your nod

Gatekeeper you held your breath

Made the summer go on and on

Well they tried to stay in from the cold and wind

Making love and making dinner

Only to find that the love the grew in the summer

Froze
February April said

"Don't be fooled by that summer again"

February April said

"That half of the year, we'll never be friends"

Gatekeeper seasons wait for your nod

Gatekeeper you your breath and made winter go on and on

Gatekeeper Gate keeper Gate keeper

Seasons wait for your nod


:Feist

let it die

วันศุกร์, เมษายน 13, 2550

me and my role model



"อย่าดูหมิ่นในกุศลธรรม
แม้เพียงเล็กน้อย"
...........................
"ทำเพราะว่ามันถูกต้อง
ไม่ใช่ทำเพราะเห็นว่ามันจะสำเร็จเท่านั้น"
พี่รสนา

วันพุธ, เมษายน 11, 2550

ปลาดุก ช่างซ่อมส้วม คนทาสี และอาสาสมัครหลักลอย

เวลาคนถามว่าตอนนี้ทำอะไรอยู่ บอกไม่ถูกไม่รู้จะตอบว่าทำอะไร เพราะไม่ได้ตอบง่าย เช่น เป็นหมอ ตำรวจ พนักงานบริษัท
มานึกสงสัยว่า อาชีพ ในสังคมนี้มันก็มีหลากหลายกว่าที่เราคิดหรือเปล่า
เมื่อวานข้าพเจ้าได้พบคนที่มีอาชีพแบบที่ข้าพเจ้าไม่คุ้นเคยหลายคนที่น่าสนใจเลยเก็บเอามาเล่าให้ฟัง อาชีพแรก เป็นปลาดุก ฟังไม่ผิด ปลาดุกนี้เพิ่งสังเกตุว่าวิธีการทำมาหากินของมันต่างจากปลาสวายมาก เวลาที่คนโยนขนมปังลงในน้ำ ปลาสวายจะโผมากระโดดขึ้นงาบขนมปัง ลำตัวมันจะฟาดน้ำดัง ป๊าป สไตล์ดุเดือดเลือดพล่าน แต่ถ้าเป็นปลาดุก มันจะว่ายมาในแนวดิ่งเกือบเก้าสิบองศา มาที่ขนมปังแล้วอ้าปาก ดูดขนมปังเข้าปากไปอย่างเงียบเชียบ ข้าพเจ้าว่ามันดูเท่จัง
อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่าจะเขียนให้ตลกหรืออะไร เป็นเพราะเพิ่งจะได้อ่านหนังสือของท่านพุทธทาสเล่มหนึ่งที่ท่านเทศน์ในหัวเรื่อง ทำงานไปพลางตกนรกไปพลาง
ท่านพูดว่าคนมักทำงานไปพลางตกนรกไปพลาง ต้องอายแมว แมวมันทำมาหากินไม่เห็นเป็นทุกข์
ก็เลยว่าเออ จริงๆสัตว์มันก็ทำอาชีพ ทำมาหากินเหมือนกัน อย่างปลาดุก ผู้สุขุมลุ่มลึก เป็นต้น
อาชีพถัดมา คือ ช่างซ่อมห้องน้ำ
พี่คนนี้ครั้งแรกที่คุยโทรศัพท์กัน ขอสารภาพว่าตัวเองเผลอตัดสินเค้าไปตั้งแต่ยังไม่เจอตัว ว่าแกนิสัยไม่ดีแน่เลย
เนื่องด้วยพี่แกเข้าใจผิดคิดว่าเราหาว่าแกเป็นคนทำความสะอาดส้วม แกจะวางหูใส่เลย
แต่พอมาเจอตัวจริง แกทำให้เราทึ่งมาก เพราะความที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่างานซ่อมส้วมนี่มันละเอียด จุกจิก เอามากๆ เวลาที่แกพูดถึงงานซ่อมส้วม แกพูดเหมือนกำลังปั้นรูปปั้นเดวิค อะไรประมาณนั้นเลย
อย่างนี้เรียกว่าแกทำงานกับสุขาแล้วสุขจริงๆ ไม่ตกนรก
อาชีพที่ สาม
อาชีพคนทาสีเส้นแบ่งช่องจราจรบนถนน
ระหว่างที่ขับผ่านสะพานโค้งที่บรรดารถราขับกันเร็วหวือมาก ข้าพเจ้าสังเกตุเห็นคนงานหลายคนยืนทาสีขอบถนนกันอย่างแข็งขัน ดูแล้วเป็นอาชีพที่ลำบากมากทีเดียว ไหนจะเสี่ยงรถชน แดดเดือนเมษานี่ก็ใช่เล่นๆ แล้วยังเป็นอาชีพที่อาจไม่เคยมีใครนึกถึงมาก่อน
เออ ถนนมันจะสร้างแล้วมาพร้อมเส้นแบ่งได้ไง ก็ต้องมีคนมานั่งทาสีกลางแดดเสี่ยงรถชนอย่างนี้นี่เอง
แถมเมื่อข้าพเจ้าขับเลยมาไม่เท่าไหร่ ฝนก็เกิดเพี้ยนตกลงโคร่ม คนทาสีจะต้องเปียกชนิดไม่มีที่หลบทันแน่ๆ
อันนี้ไม่รู้ว่าเค้าจะทำงานไปพลางตกนรกไปพลางหรือไม่ วันหน้าหากมีโอกาสได้คุยก็จะสอบถามดูซักหน่อย
อาชีพสุดท้าย
ก็อาชีพอาสาสมัครหลักลอยอย่างเรานี่ไง ฮา
แน่ว่าอาชีพนี้ไม่ต้องทำงานไปพลางตกนรกไปพลาง
เพราะได้ทำในสิ่งที่ตัวเองเชื่อว่าก่อเกิดประโยชน์ ได้พบพานมิตรดีมากมาย
แถมยังได้ไปรู้จักคนซ่อมส้วม ได้ไปนั่งให้อาหารปลาในเวลาที่คนเค้านั่งกันในออฟฟิศ
มีข้อเสียก็คือไม่รู้จะตอบคำถามที่ว่าทำอะไรอยู่ให้มันฟังง่ายๆยังไง เพราะบางคนก็คงไม่ได้อยากฟังจริงๆ
แค่ตอบไปว่าเป็น ทหาร ตำรวจ นายแบงค์ก็คงจะดีกว่า
ว่าไป มัวแต่นั่งเขียนบล็อคทำไม ไม่ได้ทำอาชีพนักเขียนซักหน่อย
ต้องไปทำงานก่อนล่ะ บายๆ

วันอาทิตย์, เมษายน 08, 2550

เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย

จะดีหรือจะร้ายที่เกิด...กับฉัน
ก็เกิดไปแล้ว
ก็จบไปแล้ว

ไม่สำคัญอะไรเลย
ว่าจะเป็นดีหรือร้ายที่เกิด...กับฉัน

ก็มันมีอีกตั้งมากมาย
ก็มันมีอีกตั้งหลายผู้คน รวมถึง หมา มด นก แมลงสาบ อะมีบ๊า และอื่นๆ

ดี ร้าย ร้าย ดี ดี ดี ร้าย ร้าย ดี ร้าย ร้าย ดี ดี ดี ร้าย

ดีเฉยๆ
ร้ายเฉยๆ
ก็แค่นั้น

ถ้าจะให้ดี
ดีเป็นปุ๋ย
ร้ายก็เป็นปุ๋ย
สำหรับต้นไม้แห่งปัจจุบันขณะ

วันเสาร์, เมษายน 07, 2550

how lucky I have double birthday parties!

I feel warmth in the air around us tonight.
I feel joy in all your smilling faces tonight.
I feel compassion in laughs we shared tonight.
I feel sunshine in the song we sang tonight.
I feel love in "banh jui"you all baked for me tonight.
I feel something so far beyond I have ever expected tonight.
Thank you all my dear sisters and brothers

วันพฤหัสบดี, เมษายน 05, 2550

25th

p'jan,sister Niramisa,ying ying, p'poky,khun maesuwari,sister sikkakallaya, me, gioi, birthday cake, present and happiness
many thanks
many kisses
many hugs
to parents, sister, brothers and friends
for everyone even friends who forgot my birthday I know it doesn't mean you don't love me, right?
wish you all love and peace

วันอังคาร, เมษายน 03, 2550

การเสวนา ๓ ทศวรรษสายธารความคิด ติช นัท ฮันห์ กับสังคมไทย


วันศุกร์ที่ ๖ เมษายน ๒๕๕๐ เวลา ๑๓.๐๐ – ๑๗.๐๐ น. ณ ห้องประชุมย่อย ๑ (Meeting Room 1) ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

นับตั้งแต่ ติช นัท ฮันห์ พระภิกษุหนุ่ม ชาวเวียดนาม จำต้องอพยพ ออกจากแผ่นดินเกิด เพื่อลี้ภัยสงครามเมื่อ ๓ ทศวรรษก่อน ทำให้โลก และ สังคมไทย ได้รู้จักขุมทรัพย์แห่งปัญญา และความรัก อันรุ่มรวยของพุทธศาสนา ฝ่ายมหายาน โดยเฉพาะเมื่อมีการแปล ปาฏิหาริย์แห่งการตื่นอยู่เสมอ เป็นภาษาไทย เมื่อปี ๒๕๑๙ ในท่ามกลางยุคสมัยของการใช้ความรุนแรงต่อกัน ในนามของความแตกต่าง ทางอุดมการณ์ทางการเมือง ที่ช่วยสร้าง แรงบันดาลใจ แก่คนหนุ่มสาวจำนวนหนึ่งในยุคนั้น ให้สามารถหยัดยืน
ในการแสวงหาทางออกจากความขัดแย้งด้วยศานติ ทั้งในระดับบุคคล และ โครงสร้างสังคม นับแต่นั้นมา งานเขียนของท่าน หลายสิบเรื่อง ได้ถูกแปลเป็น ภาษาไทย อย่างต่อเนื่องมาตลอด อาทิ เดิน วิถีแห่งสติ, ด้วยปัญญาและความรัก, ทางกลับคือการเดินทางต่อ เป็นต้น เกิดเป็นกลุ่มก้อนของผู้ศึกษางานของท่าน อย่างจริงจัง และแตกหน่อออกไปเป็น กลุ่มปฏิบัติการต่างๆ อันมีพื้นฐาน ของการภาวนา และรับใช้สังคมไปพร้อมๆ กันจำนวนมากมาย โดยกาลเวลาที่ผ่านเลย มากว่า ๓ ทศวรรษ มิได้ทำให้คุณค่าในงานของท่าน ลดน้อยถอยลงไป หากกลับยิ่งมีความสำคัญมากขึ้น ในภาวะที่โลก ยังคงเป็นไปด้วยความอยุติธรรม และรุนแรงรูปแบบใหม่ๆ เคลื่อนจากความขัดแย้งทางอุดมการณ์ทางการเมือง มาเป็นการอ้างถึงความขัดแย้งทางอารยธรรมหรือศาสนาแทน
ดังนั้น จึงเป็นโอกาสดี ที่สังคมไทยควรจะได้กลับมา ทบทวนว่า เราได้เรียนรู้อะไร จากงานของท่าน โดยวิเคราะห์ ผ่านปรากฏการณ์ต่างๆ ตลอด ๓ ทศวรรษกว่าที่ผ่านมา และยังจะต้อง เรียนรู้อะไรอีกบ้าง เพื่อนำมาใช้ แก้ปัญหา ความขัดแย้ง และความรุนแรงต่างๆ ให้เหมาะสมกับยุคสมัยปัจจุบัน ไม่เฉพาะแต่ความรุนแรงใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้

ทั้งนี้ คณะผู้จัดงานได้เชิญผู้แปลงานเขียน หรือได้รับ แรงบันดาลใจ จากท่านอย่างสำคัญ มาร่วมเสวนา แบ่งปัน ประสบการณ์ และแลกเปลี่ยนความคิดร่วมกัน เพื่อกระตุ้นเตือน ให้สังคมไทยตระหนักว่า การแก้ไขความขัดแย้งด้วยศานติ เป็น หนทางไปสู่ความสงบสุขอย่างแท้จริง
ใน วันศุกร์ที่ ๖ เมษายน ๒๕๕๐ เวลา ๑๓.๐๐ – ๑๗.๐๐ น. ณ ห้องประชุมย่อย ๑ (Meeting Room 1) ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
ผู้ร่วมจัดงาน : มูลนิธิโกมลคีมทอง, กลุ่มสังฆะแห่งสติ, สำนักพิพม์เคล็ดไทย, ศูนย์จิตตปัญญาศึกษา มหิดล
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ มูลนิธิโกมลคีมทอง ๐๒-๔๑๒-๐๗๔๔กลุ่มสังฆะแห่งสติ ๐๘๖-๗๘๙-๗๐๗๐

กำหนดการเสวนา“๓ ทศวรรษสายธารความคิด ติช นัท ฮันห์ กับสังคมไทย”ณ ห้องประชุมย่อย ๑ (Meeting Room 1) ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์วันศุกร์ที่ ๖ เมษายน ๒๕๕๐ เวลา ๑๓.๐๐ – ๑๗.๐๐ น.

๑๓.๐๐ – ๑๓.๔๕ น.

ฉายวิดีทัศน์เรื่อง Going Home (การเดินทางกลับเวียดนามของท่าน ติช นัท ฮันห์)

๑๓.๔๕ – ๑๔.๐๐ น.

พักรับประทานอาหารว่าง

๑๔.๐๐ – ๑๗.๐๐ น.

เสวนา "๓ ทศวรรษสายธารความคิด
ติช นัท ฮันห์ กับสังคมไทย" โดยพระไพศาล วิสาโล ภิกษุณีนิรามิสา จากหมู่บ้านพลัม ประเทศฝรั่งเศสคุณรสนา โตสิตระกูล ผู้แปลและศึกษางาน ติช นัท ฮันห์ คุณจิตร์ ตัณฑเสถียร นักธุรกิจผู้นำพุทธรรมมาใช้ในชีวิตประจำวัน คุณกนกวรรณ กนกวนาวงศ์ ดำเนินรายการ

วันอาทิตย์, เมษายน 01, 2550

เวียด ๆ ตอน ซินจ๋าวซือโก บั๊ดหงามาถึงแล้ว เย้

มาถึงก็สร้างบ้านก่อนเลย รื่นรมย์ใต้ร่มต้นกาแฟ

เสร็จไปหนึ่งหลังแล้ว

สองแรงเข็งขัน คนถ่ายรูปก็ อู้สิครับ


ฉันได้กลับมา กลับมาบ้านแล้ว



หายใจสิลูก




ทิวเขาที่วัดบั๊ดหงา





หลวงพี่ดอกบัวกับดอกกาแฟ



เป็นสุขในปัจจุบันขณะใต้เห็ดยักษ์
ในวัดมีเห็ดยักษ์ด้วยน่ะเนี่ยะ ไม่ใช่แค่ในโรงเรียนอนุบาล


ใกล้อีกนิด


ปลูกรัก


ของกำนัลแห่งจักรวาล ...


... สายลม แสงแดด และการตรากตรำทำงานหนัก


ยิ้ม


chuồn chuồn และ đom đóm


งานบวช เพลงแห่งความสุข และน้ำตาแห่งความยินดี


บั๊ดหงาในแสงยามเย็น


Collection of self pictures เที่ยวคนเดียวก็ได้เท่านี้หล่ะ

Me and eye liner
: a look of professional sellgirl, do I?

Me and the giant ice tea
:Bus stop, East of Amsterdam


Me and the flower market
:Amsterdam


Me and The Museum Boulevard, Berlin



Me and the bus stop logo
:Berlin



Me, My shadow and the bus stop
:Berlin



Me and the shopping street
:Berlin

perception and preconception

เมื่อไหร่ที่เราคิดว่าสิ่งที่เราคิดนั้นถูกต้องแล้ว
เมื่อนั้นเองที่เราอาจเริ่ม "ผิด"
และถ้าเรากระทำสิ่งใดที่อยู่บนพื้นฐานของความคิดที่เราว่าถูกต้องนั้น
อย่างเห็นเพียงแต่ว่ามันถูกทั้งหมด อย่างเห็นมันเป็นสีขาวสนิท
ก็เท่ากับเราเริ่มก่อสงครามขึ้นแล้ว
เพราะถูก ผิด ก็เป็นสิ่งสมมุติเท่านั้น
เป็นภาพลวงตา
อย่าแน่ใจในสิ่งที่เราคิดมากนัก
อย่าหลงลืมและหลับใหล
บอกตัวเองว่าเรายังโง่นัก
และเรายังต้องตื่นขึ้นเพื่อเรียนรู้ตลอดเวลา
ขอให้ข้าพเจ้าดำรงอยู่ท่ามกลางความไม่รู้แน่ชัดนี้ได้ อย่างสงบ และไม่ตัดสิน
มันไม่สนุกนัก แต่ว่าก็ท้าทายเลยทีเดียว