วันพุธ, พฤศจิกายน 29, 2549

no two dishes are the same

วันนี้ขอเขียนถึงอะไรชิวๆขอมีมุมกุ๊กกิ๊กขำๆหน่อย
"เค้าว่ากันว่าความรักเหมือนอาหาร"(เค้านี่เราเองแหละ55)
อาหารนั้นก็มีหลากหลายรูปแบบแตกต่างกันตั้งแต่กระบวนการสร้างสรรค์
อาหารไทยต้องใช้ไฟแรงๆผัดเร็วๆเหมือนรักเปิดปุ๊บติดปั๊บ
อาหารจีนอาจต้องตุ๋น ไฟอ่อนๆเขี้ยวแล้วเขี้ยวอีกเป็นวันๆ เป็นรักแบบฝักบ่มกันไป
อาหารญี่ปุ่นกินมันดิบๆสดๆซะหยั่งงั้น ดั่งรักรสใสๆไม่ปรุงแต่ง
อาหารฝรั่งเศสต้องมีลีลา เฉกเช่นรักของนักรักโรแมนติก
หลากหลายวิธีก็ให้ความอร่อยแตกต่างกันไป...ไม่มีสูตรสำเร็จ
อย่าไปติดกับรสชาติใดรสชาติหนึ่งเลย
อย่าไปคิดว่าความรักที่ดีหรืออาหารที่อร่อย
มันควรจะเป็นอย่างนี้อย่างนั้นแบบเดียวกันไปหมด

จริงไหม?

.

...
ไม่เป็นไรเพื่อน
ไม่เป็นไร
...
ใครทำเธอช้ำมา
อวยพรเขากลับไป
...
ใครทำเธอเสียใจ
ยิ้มให้เขาเถิดหนา
...
เพียงสิ่งที่ผ่านมา
ถึงเวลาก็ผ่านไป
...
แค่วางมันเอาไว้
ยื่นมือให้ฉันเพื่อนเธอ

วันเสาร์, พฤศจิกายน 25, 2549

I am yours.

I am not your dream, neither your imagination.
I am not a vision.
I am real.
...
I am the air you are breathing.
I am a soul of your soul.
I am a thought of your thought.
I am a meaning of your unspoken.
I am your smile and your tear.
your fear and your hope,
your darkness and your lighthouse,
your slave and your master,
your residence and your mysterious forest,
your sleep and your awake,
your breath and your death.
...
I am not your dream, neither your imagination.
I am not a vision.
I am real.

ps. I'd like to recommend my new friend's site
;Shomil vividiti : dont philosphise.. live!
www.lomohomes.com/vividiti

วันอาทิตย์, พฤศจิกายน 19, 2549

.

I love a mountain, secluded but strong.
I love a river, crazy but clear.
I love a sky, weightless but wide.
I love a pebble, small but solid.
I love a little flower, petty but pretty.
Once and for all,
I love thee , head and tail.

World-Run-Circle

I look up to my sky.
Now it's blank and bright.
Wind blown all clouds.
Sun dried all rain.
" "
World-Run-Circle,
staying is changing
changing is being
being is nothing
" "
World-Run-Circle,
No more rain
It's time for winter.
but then I can't hold it,
leaving to summer.
" "
Round Round Round
" "
there's no end nor begining.
there's no seperate line,
or maybe I now far beyond.
or maybe I now on journey,
backward to an origin.
but there's no begining nor ending.
so i travel nowhere.
Well, is it mean I'm staying?
but staying is changing
changing is being
being is nothing
" "
World-Run-Circle,
" "
Round Round Round
Round Round Round
Round Round Round
" "
but staying is changing
changing is being
being is nothing
" "
Round Round Round

""""""""""""""
"World-Run-Circle"
: written 01 am. /09 November 2006
song for "THE LAZYHUS-BAND" Copyright

วันพฤหัสบดี, พฤศจิกายน 16, 2549

.

ยังดีที่ไม่ได้ทำให้ใครพิการ
ยังดีที่ไม่ได้พรากพ่อใครสามีใคร
ยังคิดไม่ออกเลยว่าถ้าเป็นอย่างนั้นจะทำไงจะทำไง
แค่นี้ก็จะรับไม่ไหวอยู่แล้ว
ฮือ ฮือ

วันอังคาร, พฤศจิกายน 14, 2549

a story among many

Dust
on the dining table...
my finger writes
what I dare not
tell you.

PS. ขโมยอ่านที่ร้านหนังสือเลยจำไม่ได้ว่าใครเขียน เป็นกวีชาวอินเดียคนหนึ่ง

.

ข้าพเจ้ายังไม่คิดที่จะริอ่านเป็นนักวิจารณ์หนังสือแต่อย่างใด
เพียงต้องการจะแลกเปลี่ยน และบอกต่อถึงหนังสือที่ข้าพเจ้ามีความประทับใจ
และมีอิทธิพลต่อความนึกคิดของข้าพเจ้า ซึ่งส่งผลต่อการกระทำอีกทอดหนึ่ง
เนื่องด้วยข้าพเจ้าในวัยเด็กเป็นเด็กที่เอาแต่วิ่งเล่นจับแมลง
กบเขียด เด็ดดอกไม้ ต้นไม้
จึงโตมาเป็นคนที่อ่านหนังสือช้า และอ่านหนังสือมาเพียงไม่กี่เล่ม
ในจำนวนหนังสือที่ได้อ่าน มีหลายเล่มทีเดียวที่มีอิทธิพลต่อความคิดในด้านที่แตกต่างกันไป
หนังสือบางเล่มข้าพเจ้าอ่านแล้วถึงกับนอนไม่หลับ
บางเล่มทำให้รู้สึกเสมือนว่าตัวเองเป็นนักเดินทางที่เพิ่งเริ่มต้นที่ตีนเขา
บางเล่มอ่านแล้วรู้สึกเสมือนตัวเองบินล่องไปตามลมได้อย่างนก
...
"The Man Who Planted Trees" a story by Jean Giono
วรรณกรรมเล่มบางๆเล่มหนึ่งที่ใช้เวลาอ่านไม่เกิน 20 นาที
แต่เรื่องราวนั้นกลับวนเวียนอยู่ในความคิดได้เป็นวันๆ
เป็นหนังสืออีกเล่มที่ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกว่าได้สัมผัสถึงพลังในทางสร้างสรรค์
และความตั้งใจที่จะเขียนเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับใครก็ตามที่ได้อ่าน
โดยที่ผู้เขียนกับผู้อ่านไม่จำเป็นต้องรู้จักกันเลยด้วยซ้ำ
...
แน่นอนว่าทุกอย่างย่อมมีสองด้านเสมอ
ยิ่งข้าพเจ้าอ่านพบหนังสือที่มีอิทธิพลต่อความนึกคิดของข้าพเจ้ามากเท่าไร
ยิ่งทำให้ข้าพเจ้าตระหนักถึงอำนาจของตัวหนังสือมากเท่านั้น
เมื่อเราเริ่มเขียน และเมื่อเริ่มมีคนอ่าน แม้แต่เพียงคนเดียว
เป็นอันว่าเราควรมีความรับผิดชอบต่อสิ่งที่เราเขียน ต่อคนที่อ่าน
หากเราใช้ปากกาอย่างสร้างสรรค์ เขียนด้วยความจริงใจ
เขียนด้วยจุดมุ่งหมายที่ดี
ไม่สำคัญว่าเราจะรับรู้หรือไม่ว่าคนที่อ่านได้อะไรไป
คงเพียงพอแล้วหากงานเขียนนั้นสามารถสร้างแรงบันดาลใจในทางบวกต่อใครซักคน และต้องไม่ลืมว่างานเขียนนั้นอาจมีอายุยืนยาวกว่าเรา
เช่นเดียวกับนักปั้นที่รู้ดีว่าจานชามของเค้านั้นจะอยู่ไปอีกเป็นพันๆปีหลังจากเค้าตายไป
...
"The Man Who Planted Trees" ทำให้ข้าพเจ้าคิดที่จะตั้งใจเขียนอย่างสร้างสรรค์
เพื่อที่จะเป็นกระบอกเสียงเล็ก บอกเล่าเรื่องราวดีๆ ผู้คนดีๆที่ข้าพเจ้าได้ผ่านพบในการเดินทาง
แม้ว่าฝีมือการเขียนของข้าพเจ้าจะเป็นระดับมือสมัครเล่น
แต่ยังมีความเชื่อมั่นว่า หลากหลายเรื่องราวดีๆเกี่ยวกับเพื่อน และคนดีๆ ที่ข้าพเจ้าอยากนำเสนอ
จะสามารถทำให้คนอ่านได้แรงบันดาลใจจากเนื้อหาสาระของมันเอง
ถ่ายทอดผ่านปากกาของข้าพเจ้า (ต้องพูดว่าคีย์บอร์ดสิน่ะ)
ค่อนข้างสับสนเอาการสำหรับข้าพเจ้าผู้ซึ่งมักจะปฏิเสธที่จะนิยาม "คำ" ใดๆ
แต่ขณะเดียวกันก็ต้องอาศัย "คำ" เป็นสื่อบอกเล่าความคิดตนเอง
และยังคงยืนยันกับตัวเอง ว่าสิ่งที่ตนเองต้องการที่สุดคือการลอยล่องอยู่เหนือความยึดติดกับคำจำกัดความใด ของใคร หรือสังคมไหน
มีเพียงสิ่งที่ใจของข้าพเจ้าร้องบอกเท่าทั้นที่จะเป็นเหมือนลมพัดพาข้าพเจ้าให้เดินทางไปในที่ๆใจปราถนา

...
หมายเหตุ : เขียนมาซะยืดยาว เอาเป็นว่าโปรดติดตามและเป็นกำลังใจให้นักอยากเขียน ขณะที่ข้าพเจ้าเรียบเรียงเรื่องราวที่จะมานำเสนอให้ดีซะก่อน บางเรื่องของบางคนอาจจะต้องใช้เวลาศึกษาให้มากก่อนเลยทีเดียว

หายไป?

คงจะประมาณ 4 ทุ่มเศษ
แต่วันนี้ก็ดูบรรยากาศคึกคักมาก คงเพราะเป็นวันลอยกระทง
แต่ข้าพเจ้าผู้ไม่เคยพิศมัยเทศกาลนี้เลย
จำได้ว่าไปถึงริมน้ำทุกครั้ง ก็รู้สึกได้อย่างเดียวว่า
มันมีกระทงเยอะเกินไปแล้ว จะใส่ลงไปทำไมอีก?
ปีนี้ไม่แม้แต่จะไปริมน้ำ
แยกย้ายกันที่ร้านสัมตำไก่ย่าง ก็มารอเรียกรถกลับบ้าน
ณ ตรงที่ๆ เคยมี เสาชิงช้า บัดนี้ไม่มีซะแล้ว..แม้แต่เงา
คันแล้วคันเล่าไม่มีรถแทกซี่ยอมไปไกลถึงบ้านเราซักคัน
แต่มีรถเก๋งคันหนึ่งขับพุ่งมาปาดข้างหน้าอย่างเร็วแล้วก็จอด
ผู้ชายคนหนึ่งเปิดออกมาจากด้านข้างคนขับ
ผู้หญิงอีกคนถลาลงมาจากอีกด้าน
ผู้ชายเดินอย่างเร็วมาโบกเรียกรถ
ผู้หญิงวิ่งถลาตามมาพร้อมกับเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้น
เข้าคว้าแขนผู้ชายคนนั้นเอาไว้
เค้าพยายามสะบัดแขนเธอออก
แล้วก้าวขึ้นไปบนรถตุ๊กๆ
เธอก้าวตามไป
เค้าบอกให้คนขับออกรถ
ทั้งๆที่เธออยู่นอกรถเกือบครึ่งตัว
ขาเธอแกว่งๆไปมา ลอยจากพื้น
เหมือนว่าเธอมีสองขา ... แต่กลับยืนไม่ไหว
เสียงร้องไห้เหมือนแทบขาดใจ
ในที่สุดรถตุ๊กๆเลยไม่ยอมไป
เค้าจำต้องลงมา เธอยุดยื้อเค้าไว้ ทั้งด้วยสองแขนและน้ำตา
แต่ดูเหมือนจะไร้ผล
เค้าดูไม่แคร์
............
ข้าพเจ้าไม่รู้หรอกว่าเค้าทะเลาะอะไรกัน
ข้าพเจ้าไม่รู้หรอกว่าใครทำร้ายใคร ผิดถูกยังไง
ข้าพเจ้าคิดว่ามันคงไม่ใช่ประเด็น
อยากจะเดินเข้าไปบอกว่า
ปล่อยเค้าไปเห๊อะ
....
แต่ตอนนี้เธอคนนั้นคงไม่สามารถรับฟังอะไรได้
ข้าพเจ้าจากมาจากการเป็นบุคคลที่ 3 ในเหตุการณ์ในที่สุด
....
เสาชิงช้าเคยมีอยู่ ใครจะคิดว่าวันนึงมันยังหายไป?
แต่ลองคิดดีๆสิ ก่อนหน้าที่คนจะสร้างมันขึ้นมา
มันมีอยู่ซะที่ไหนเล่า จริงไหม?

วันพฤหัสบดี, พฤศจิกายน 09, 2549

ยำๆครับ ภาพไม่สวย ขออภัยด้วย

ทุกคนคิดละซิว่า จะตื้บดิน หรือตื้บเด็กดี..ล้อเล่นๆ
โจ้ครับๆ เฟคน้อยๆหน่อยครับ...ล้อเล่นๆ

ผนังบ้านลุงทุมถูกใจมาก นึกถึงเพลงของพี่jack ที่ร้องว่า "And there were so many fewer questions. When stars were still just the holes to heaven"

ลุงสุ่นโชว์การเผาถ่านเพื่อให้ได้ น้ำส้มควันไฟ ปุ๋ยชีวภาพที่พัฒนาเทคนิคกันขึ้นมา จนไม่ต้องพึ่งปุ๋ยและสารเคมีกันอีกต่อไป


คนแรกนี่โจรสลัด คนที่สองถูกตั้งข้อสงสัยว่าจะเป็นชาวประมงจริงๆละมั้ง คนที่สามนักท่องเที่ยว เฟคถ่ายรูปอีกแล้ว..ล้อเล่นๆ


ขอนับถือคนคิด การนวดผ่อนคลายระบบลูกโซ่หลังจากจบภารกิจ เฮ้อ.. ชิวจริงๆ





ศิลปินเบอร์หนึ่งกะลังวาดภาพที่ระลึกให้กลุ่มเขาชะเมาเก็บไว้เป็นหลักฐาน เอ้ย! ที่ระลึกตะหาก



ถึงปาล์ม...เราไม่ได้ตั้งใจถ่ายให้ออกมา "ดำ" แต่มันย้อนแสงอ่ะ55555...ล้อเล่นๆ


โจ้ พี่นุ้งนิ้ง ข่อยเอง น้องกิ่ง(รึเปล่า อภัยให้ด้วยความจำข้าพเจ้าเท่าปลาทอง) ตุ๊กติ๊ก มะตูม เด็กธรรมสาด...แล้วไง



เหมือนทุกๆการเดินทาง สุดท้ายก็ กลับบ้านครับกลับบ้าน

วันพุธ, พฤศจิกายน 08, 2549

ห้องสมุดดิน ฉบับ รักษ์เขาชะเมา

เหนื่อยแต่มันส์หยด งานนี้มันถูกกะจริตจริงๆ ใช้แต่แรง ทีน ทีน ทีน

แก๊งค์ทำบล็อค


เอ้า! โคดสะนาให้เค้าหน่อย
ชาวจิตอาสา

ถ่ายรูป...หมู

โจ้ จักร พี่แก้ว น้องบอยแห่งกลุ่มรักษ์เขาชะเมา
ปล. โจ้กะจักรไม่ได้เป็นอะไรกันแม้แต่น้อย พูดงี้เสียหายหมดเดี๋ยวขายไม่ออกทำไงฮ่ะ
.......

กาพย์บ้านดิน ฉบับมั่วๆ
...
ย่ำ ย่ำ ย่ำ
บ่อเล็กๆ
ขุดลึกๆ
ไส้เดือนน้อย
ดิ้นดึ๊กๆ
จำต้องลา
เพื่อเด็กน้อย
ได้ศึกษา
หาความรู้
...
โกย โกย โกย
ช่วยกันขน
อัดดินจน
เป็นก้อนอิฐ
ตากเรียงไว้
รออีกนิด
เจ้าก้อนอิฐ
เราร่วมก่อ
เริ่มเป็นบ้าน
ดินหลังจ้อย
ห้องสมุดน้อย
คอยเราอยู่
(น่ะจ๊ะ)



ปล. ไปค่ายเที่ยวนี้ มีทั้งขำ ฮา มันส์ สาระ ข้อคิด เกร็ดความรู้ เพื่อนใหม่ รุ่นใหญ่ รุ่นเด็ก ไว้จะทยอยเล่าให้เพื่อนๆฟังในโอกาสถัดไปแน่นอน วันนี้ข้าพเจ้าหมดแรงแหล่วขอลาไปก่อนเน้อพี่น้อง


ขอบคุณ

4 พฤศจิกายน 2549

การที่ได้มาทำกิจกรรมที่เราไม่ได้คาดหวังผลประโยชน์ใดๆในเชิงวัตถุ
หรือไม่ใช่สิ่งที่เราทำแล้วได้ผลตอบแทนเป็นเงินในบัญชีทุกๆวันที่ 31
หรือเป็นสิ่งที่เราเคยชินกับมันซะจนเราเข้าใจว่าเรารู้จักในสิ่งที่เราทำดีแล้ว
อย่างเช่นการไปค่ายสั้นๆที่กลุ่มรักษ์เขาชะเมาครั้งนี้
เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เตือนสติให้รู้ว่า
"เจ้ากำลังเป็นกบในน้ำที่ตั้งไฟอ่อนๆ และจะถูกน้ำร้อนลวกตายไปอย่างไม่รู้สึกตัว"
นับจากครั้งก่อนคือเมื่อกว่า 7 ปีที่แล้วที่ได้มีโอกาสไปสวนโมกข์ฯ
....
เมื่อเราละเลยที่จะละเอียดอ่อนในการสำรวจให้ทั่วถ้วนไปทุกซอกมุมของจิตใจตนเอง
ก็เป็นการยากที่เราจะขจัดสิ่งสกปรกเล็กน้อยที่เข้าไปติดค้างอยู่ในซอกหลีบเล็กๆ
โดยที่ไม่รู้ตัวจิตใจของเราเริ่มถูกเกาะกุมไปด้วยความสกปรกที่เราไม่รับรู้ถึงการมีอยู่ของมัน
ใจของเรากระด้างขึ้นอย่างช้าๆ ช้าๆ

....
ช่วงเวลาสั้นๆของการไปค่ายครั้งนี้ ทำให้บางอย่างข้างในตนเองมีโอกาสได้ส่งเสียงเตือน
เตือน...ให้เราตระหนักรู้ถึงการมีอยู่ของความไม่สะอาดภายในจิตใจ
เตือน...ให้เราตระหนักรู้ว่าต้องชำระล้างมันออกไป
เพราะยังอยากจะมีจิตใจที่ใสเพื่อตื่นรู้และเข้าใจ
เพราะยังอยากจะมีใจที่อ่อนนุ่มมิถูกเกาะกุมไปด้วยความกระด้างอย่างนี้
ขอบคุณ

วันพฤหัสบดี, พฤศจิกายน 02, 2549

Happy birthday to my best friend!

วันเกิดนิ่มเพื่อนเลิฟ สนุกมาก
ปาร์ตี้ๆ
มีพายของบ๊อบ
เนมีเค้กเซอร์ไพรส์นิ่ม
ช่างเป็นน้องชายที่น่าร๊ากจริงๆ
ส่วนนิ่มก็บ่นออดๆว่าทำไมได้แต่หนังงสือเป็นของขวัญน่ะ
ไม่ได้โม้ แต่พูดจริงว่าจักรปาณี ทำอาหารให้ทุกคนกินด้วย !!!
เป็นครั้งแรก อร่อยเว่อร์ๆ
ขนาดหุงข้าวก็ยังไม่เป็นน่ะเนี่ย
กินกันหมดด้วยน่ะ
แม้จะออกแนวบังคับให้กินกัน555
happy birthday เพื่อนเลิฟ

ps. พรุ่งนี้จะได้ไปสร้างกุฏิดินซะที ตื่นเต้นๆ

On the edge of the night

My room and this vastness,
awake over parroting land, - are one.
I am a string, strung over rustling wide resonances.
The things are violin bodies, full of grumbling dark;
inside the wifes' weeping is dreaming,
inside the rancour of whole dynasties is stirring in the sleep…
I shall shake silverly:
then everything underneath me will live,
and what errs in the things,
will strive after the light,
which falls from my dancing tone,
around which heaven waves, through narrow,
yearning cracks, into the old chasms without end…
R.M. Rilke, January 12th 1900,
Berlin-Schmargendorf
English translation by Philipp Kellmeyer

ps.ขอยืมquoteของกวีท่านนี้มาใช้เป็นคำโดนใจตัวเองเป็นเวลาหลายปีแล้ว แล้วยังขโมยเอามาใช้เป็นชื่อบล็อคอีกด้วย วันนี้เลยขอเอาผลงานของเค้ามาเก็บไว้ซะหน่อย เสียดายที่ไม่รู้ภาษาเยอรมันเลยไม่เคยได้อ่าน original version กับเค้าซักที


The night in Delhi

" Do you know I did commit suicide once?" not taking her eyes of Veronica decided to die .
"....................." I answered with silence cause I think she didn't need answer anyway.
"When I was 17... I was so young."
To me now she is sister , colleague and boss also.
Instead of asking how? or why? I asked her about what was happen after that.
simple and short with her very neutral tone of answering, like it matter no more...
"Life must goes on"
I feel like I catch the glimpse of the whole story.
And I believe she do know the true meaning of that simple word.
.......
It was very short conversation.
But it did answer to my question also...
before she left me into Paulo Coelho's world.
Yes, she's right.
.......
"Life must goes on" I said to myself in silence.
before I left her into Lao-tzu's world.

วันพุธ, พฤศจิกายน 01, 2549

The power of make up

เช้าวันหนึ่งที่ตื่นขึ้นมาพบรอยบวมและช้ำรอบๆดวงตา(ที่ปรกติก็บวมอยู่แล้ว)
อันเกิดจากเหตุแห่งความอ่อนไหวอ่อนแอ ซ้ำๆซากๆ
เสียงหนึ่งบอกว่า นี่ไม่ใช่ชั้นแน่ๆ
ว่าแล้วก็เริ่มต้นเช้าวันนั้นด้วยการบรรจงเติมแต่งสีสันบนใบหน้า
อย่างน้อยข้างนอกสดใสไว้ก่อนก็ยังดี
และแล้ววันไม่ธรรมดาที่งงๆก็เริ่มต้นขึ้น
เริ่มจากทุกคนทักกันเกรียวว่าเกิดไรขึ้นทำไมเปลี่ยนอย่างนี้
ก็นึกในใจอยู่ว่า เอ้ยเป็นผู้หญิงน่ะเว้ย แต่งหน้ามั่งแปลกตรงไหนกันเนี่ยะ
ต่อด้วยคนขายหนังสือ ที่พูดส่งท้ายว่า "ให้ผมถือหนังสือไปส่งที่รถมั้ยครับ"
เดินชนของร้านเค้าล้มโคร่ม คนขายแทนที่จะด่า ดันพูดว่า
"หุ่นนี้เป็นอะไรคนสวยเดินมาใกล้ทีไรล้มทุกที"
เอ่อ เลยไม่รู้จะขอโทษรึต้องขอบคุณที่ชมดี
หรืออยู่ๆก็มีคนส่งขนมมาให้กิน เออก็ดีเหมือนกันประหยัด
กลายเป็นจุดเริ่มของการได้แจกขนมจีบกินฟรีบ่อยขึ้นเรื่อยๆในช่วงนี้
เจ๊บอกว่าแกอย่าดูถูกอำนาจอันนี้น่ะย่ะ
ไม่เห็นหรือว่าสวยไว้ก่อนสบายกว่าเป็นไหนๆ
คลีโอพัตราก็สอนไว้
นึกสงสัยว่ามนุษย์หนอ เรามีดวงตาไว้เพื่อเห็นอะไรบ้าง?
ยังไงก็ตาม ยังคงไม่คิดจะคบกับคนที่ชอบแค่มาสคาร่าบนขนตาของชั้นหรอกน่ะ
ลบออกก็เป็นหมวยหน้าจืดคนเดิมอยู่ดี
คนที่ใครๆเจอก็มักถามว่าน้องๆ เป็นทอมรึเปล่าครับ
หลายคนที่ทักว่าเปลี่ยนไป ก็พอเข้าใจ
แต่คุณคิดจริงๆหรือว่าเครื่องสำอางสามารถเปลี่ยนคนได้
ชั้นก็ยังเป็นคนๆเดิมและมีใจบางๆดวงเดิม
อะไรคือเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยน
สำคัญที่ใจไม่ใช่หรือ