วันพุธ, พฤศจิกายน 30, 2548

GONE 'TIL DECEMBER

just to say goodbye to you guys
cos i'll be gone to doi tung for three weeks
let's eating out again when i back
and to sayo
...i didn't forget about our project na

and...to all friends ...could you please leave your address here
except those who don't what my postcard..ok?

วันจันทร์, พฤศจิกายน 28, 2548

---

นั่งอยู่หน้าคอม
ออนไลน์
เพื่อให้ใครบางคนทักมา
แต่อย่าเข้าใจผิดน่ะ
ไม่ได้คิดแบบนั้นหรอก
แต่ไม่รู้สิ
แล้วเค้าก็ไม่เคยทักเลยจริงๆด้วย
นอกจากทักเค้าก่อน
แล้วเค้าคงคุยตามมารยาทมั้ง
โง่ และเสียเวลาใช่มั้ย?
ก็บอกอีกทีว่าไม่ได้คิดอะไรขนาดนั้น
ก็แค่บางอารมณ์ที่นานๆอยากจะกุ๊กกิ๊กเป็นผู้หญิงอารมณ์อ่อนไหวกะเค้ามั่ง ฮิฮิ

วันอาทิตย์, พฤศจิกายน 27, 2548

place matter

เคยเจอมั้ยของชนิดเดียวกันอันที่ดีกว่าแต่ถูกกว่ามากๆ ขายในที่ตั้งใกล้เคียงห่างกันไม่กี่ร้อยเมตร
ไม่เชื่อลองซื้อป๊อปคอร์นหน้าเซ็นทรัลลาดพร้าวไปกินในโรงหนังแทนซื้อหน้าโรงดิ ถุงละสิบบาท
ของข้างถนนอร่อยกว่าแต่ก็เป็นของข้างถนนก็เลยขายได้แค่10บาท
อร่อยกว่าถุงละ65บาท มากๆๆ แถมยังได้ความสะใจเล็กน้อยๆของการลอบเอาป๊อปคอร์นหน้าห้างเข้าโรงหนังอีกด้วย

วันพุธ, พฤศจิกายน 23, 2548

แถลงไข

สวัสดี
ขอบคุณเพื่อนๆสำหรับการเข้ามาอ่านและคอมเมนท์
หลังจากที่เพื่อนๆทั้งหลาย(ที่โดนบังคับให้อ่านบทความของมือใหม่หัดเขียนอย่างเรา) ไปแล้ว
ก็มีหลายๆคนถามว่า จะเขียนเรื่องสั้น หรือจะเขียนไดอารี่ หรือจะเป็นบล็อคปรัชญากันแน่
ก็จะขอตอบว่า มันไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าชื่อของบล็อคที่เราให้ชื่อว่า the journey within
เราไม่ได้จะเขียนเรื่องเพื่อให้อ่านสนุก หรือจะเขียนให้ข้อคิดกับใคร หรือจะบอกว่าสิ่งที่เราคิดถูกและดี
เราไม่ใช่หนอนหนังสือตัวยง และไม่ใช่บุคคลที่ทำงานเพื่อสังคม ไม่ใช่คนที่ติดตามข่าวเศรษฐกิจการเมืองตลอดเวลา
แต่เราเป็นคนวัยยี่สิบต้นๆ ซึ่งเกิดมามีชีวิตที่สุขสบายไม่ต้องดิ้นรน ไม่ต้องลำบาก ไม่ได้ใส่ใจเรื่องราวบ้านเมืองซักเท่าไหร่
อาจจะเป็นคนประเภทที่เค้าเรียกกันว่าวัยรุ่นไม่ได้เรื่องนั่นเอง
และเป็นคนสับสนชีวิตสุดๆคนหนึ่ง
มีคำพูดหนึ่งที่เราชอบมากอาจจะเพราะความไร้ตัวตนของตัวเอง
the only journey is the journey within
เรื่องที่เราเขียนขึ้นในบล็อคนี้จึงเป็นแค่การค้นหาลงไปในตัวเองของเรา อาจจะผิดๆถูกๆ แคบ บ้างตื้นบ้าง
เอาน่าการเดินทางก็ต้องมีหลงๆกันบ้าง
ไม่ได้เรื่องในวันนี้ ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ได้เรื่องตลอดไปใช่ม่ะ
ก็ขอบคุณเพื่อนๆที่เป็นเหมือนเพื่อนเดินทางเจอะเจอกันบ้างรู้ทางก็แนะกันบ้าง พากันหลงบ้าง
การเดินทางก็คงจะรื่นรมย์ดีน่ะ

วันจันทร์, พฤศจิกายน 21, 2548

afterlife

เดี๋ยวนี้ได้มักยินคำถามประเภทที่ว่า "คิดว่าจะทำอะไรต่อไปในอนาคต?"
"คิดว่าจะเป็นอะไรเมื่ออายุ 30 ?"
แต่น้อยครั้งมากที่จะเคยถูกถามคำถามประเภทที่ว่า
"คิดว่าเมื่ออายุ30จะทำอะไรคืนกลับให้สังคมที่อาศัยอยู่ได้บ้าง?"
นอกจากตามโฆษณาประเภทส่งเสริมภาพลักษณ์องค์กรที่ทำเรื่องแย่ๆไว้จนต้องทุ่มเงินซื้อสื่อ เพื่อสร้างภาพ?
มันคงเป็นกระจกสะท้อนให้เห็นถึงลัทธิทุนนิยมและบริโภคนิยมที่ซักวันมันอาจกลายเป็นส่วนหนึ่งของเอกลักษณ์ความเป็นไทยก็ได้ใครจะรู้
และมีคำถามหนึ่งที่ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยได้ยินใครถามว่า
"คิดว่าจะทำอะไรให้กับสังคมและคนที่อยู่เบื้องหลังได้บ้างในเวลาที่คุณตายจากโลกนี้ไปแล้ว?"
มันอาจจะเป็นคำถามที่ฟังดูประหลาด
ตายแล้วจะไปทำอะไรได้?
ไม่ผิดหรอก แล้วมันยังไม่ใช่แค่คำถามประหลาดๆ แต่เป็นคำถามที่ตอบยากมากๆซะด้วย
ในวันหนึ่งขณะที่กำลังเดินดูและอ่านเรื่องราวในหอพระราชประวัติของสมเด็จย่า บนพระตำหนักดอยตุง
ตัวอักษรเรียบๆ ในการจัดพื้นที่แสดงที่ไม่ได้มีอะไรพิเศษหรือน่าตื่นตาตื่นใจ แต่เป็นนัยความหมายของเรื่องราวต่างหากที่พิเศษ
คุณเคยรู้มั้ยว่าสมเด็จย่าทรงวางแผนโครงการพัฒนาพื้นที่บนภาคเหนือที่ซึ่งเติมไปด้วยปัญหายาเสพติด สงคราม และความแห้งแล้งอดอยากเมื่อใด?
คำตอบคือ สมเด็จย่าทรงมีพระราชดำริและเริ่มโครงการพัฒนาดอยตุงขึ้นเมื่อพระองค์มีพระชนมมายุ 88 พรรษา
และจะมีอีกซักกี่คนที่รู้ว่าโครงการพัฒนาดอยตุง
มีระยะเวลาและแผนโครงการยาวถึง 30 ปี?
เมื่อนับถึงเวลานี้ เป็นเวลา 10 ปีแล้วหลังจากที่สมเด็จย่าจากไป
โครงการนี้ยังคงถูกดำเนินการต่อและขยายพื้นที่การช่วยเหลือและเป็นโครงการแบบอย่างให้กับประเทศซึ่งมีปัญหาทั้งทางด้านสงครามและยาเสพติด
เช่น อัฟกานิสถาน พม่า อินโดนิเซีย

บางคนยังทำอะไรที่ยิ่งใหญ่ให้กับโลกได้แม้กระทั่งเวลาที่จากไปแล้ว
มันทำให้ต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่า
"คิดว่าจะทำอะไรให้กับสังคมและคนที่อยู่เบื้องหลังได้บ้าง?"
แน่นอนว่าคงต้องใช้เวลามากทีเดียวที่จะตอบคำถามนี้
แต่การตอบคำถามได้ก็ไม่สำคัญเท่ากับ
การทำอย่างที่พูดออกไปจริงๆ

วันอาทิตย์, พฤศจิกายน 20, 2548

lost in translation

อุปาทานว่าได้ยินเสียงเพลงของ air ในฉากที่นางเอกของเรื่องเดินเที่ยวคนเดียวไปในโตเกียว
ผิดกันแค่ที่นี่ไม่ใช่โตเกียว แต่เป็นย่านชอปปิ้งอันไม่เคยหลับไหลของฮ่องกง
จะมี bill murrayโผล่มามั้ยน่ะ ?
คิดแล้วก็หัวเราะกับความคิดตลกๆสมมุติว่าตัวเองเป็นนางเอกของเรื่อง
จะเรียกว่าเหงาก็คงไม่ใช่ แต่เป็นความรู้สึกเหมือนเป็นคนต่างถิ่น
รอบตัวมีแต่คนแปลกหน้าและภาษาที่ไม่คุ้นเคย
คิดอะไรเพลินๆจนทำให้รู้สึกว่าระยะทางไม่ไกลเลยเมื่อมาถึงที่หมาย
แทนที่จะไปเที่ยววัดอย่างในหนังแต่เป็นการมาเที่ยวผับบนตึกสูงมองเห็นวิวฝั่งเกาลูนแจ่มชัด
วิวนี้ที่ใครๆก็บอกว่าสวยนักหนา แต่คงไม่ใช่สำหรับทุกคน
มันช่างน่าอึดอัดกว่าวิวชายฝั่งทะเลทุกที่ๆเคยเห็นมาในชีวิต
เป็นชายฝั่งทะเลที่มองไม่เห็นแม้แต่เส้นที่น้ำจรดท้องฟ้า หรือดาวซักดวง แต่พราวไปด้วยดวงไฟนับแสนจากตึกระฟ้าทั่วเกาะฮ่องกง
ช่างเถอะ ก็แค่แค่ตั้งใจมาดูการตกแต่งภายในของผับนี้ซึ่งออกแบบโดยนักออกแบบฝีมือฉกาจคนหนึ่ง
แต่ยังไม่ทันที่เครื่องดื่มจะมาเสริฟ ก็รู้สึกได้แล้วว่าไม่น่าจะมานั่งอยู่คนเดียวอย่างนี้ในที่แบบนี้เลย
บรรยากาศน่าอึดอัด แม้จะไม่มีใครสนใจหรืออาจจะไม่สังเกตเห็นว่าเรานั่งอยู่ตรงนั้นเลยก็ได้
น่าเบื่อจนต้องเอากระดาษทิชชูข้างหน้ามาวาดรูปเล่น
อาจจะนานแค่สิบนาทีแต่รู้สึกเหมือนเป็นชั่วโมง
คงจะได้เวลาลุกไปจากที่นี่ซะที
มันคงเป็นเรื่องตลก และน่าหัวเราะเยาะซะจริงๆที่จะคิดว่าตัวเองเป็นนางเอกและจะมีbill murrayสำหรับหนังชืดๆเรื่องนี้
แต่แล้ว....
เค้าก็มา....
แอนโทนิโอเข้ามาทักพร้อมมีท่าทีแปลกใจเมื่อกล่าวแนะนำตัวและถามว่าจะกลับแล้วหรือ?
"ค่ะ ที่นี่มันน่าเบื่อเกินไป"
"'งั้นให้เกียรติไปนั่งฟังเพลงกับผมต่อได้มั้ย"
แน่นอนไม่มีเหตุผลอะไรที่ควรจะไปกับผู้ชายอิตาเลียน
นอกเสียจากว่า...เค้าจะเหมือน bill murrayเอามากๆ
การสนทนาไม่ได้มีอะไรน่าสนใจมากไปกว่าการพูดคุยกันแบบคนเพิ่งรู้จักคนใหม่
จนกระทั่งแอนโทนิโอพูดว่าเค้าไม่เคยรู้สึกตกหลุมรักกับใครในครั้งแรกอย่างนี้มาก่อน
และถามว่าจะไปกับเค้าได้มั้ย ?
คงไม่มีใครไม่รู้ว่านี่คงเป็นคำพูดแสนธรรมดาหากออกมาจากปากของผู้ชายชาวอิตาเลียน
หลังจากขอบคุณ ปฏิเสธและอำลาจากแอนโทนิโอมาได้
หนังกลับมาฉายซ้ำที่ฉากแรก ต่างกันที่เพียงบนใบหน้าของนางเอกมีรอบยิ้มขำกับเรื่องสนุกๆที่เพิ่งผ่านมา
แม้แอนโทนิโอจะไม่ใช่ bill murray แต่เป็นเพียงอิตาเลียนที่ต้องการจะ get laid
แต่อย่างน้อยก็ทำให้หนังที่เกือบจะน่าเบื่อมีสีสันขึ้นมาบ้าง
ไม่รู้ว่าจะโทษแอนโทนิโอหรือตัวเองที่ทำให้เราลืมทางกลับโรงแรมซะงั้น
และคนฮ่องกงก็ไม่ได้เก่งภาษาอังกฤษไปซะทุกคนเหมือนที่คิด
แต่ก็ยังมีลุงใจดีบอกทางให้ในที่สุด แม้เค้าจะดูไม่ค่อยแน่ใจก็ตาม
รีบๆเดินดีกว่านี่ก็มืดมากแล้ว
ถ้านี่เป็นหนังจริงๆอาจจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับตัวเอกอย่างเราก็ได้ ใครจะไปรู้
การก้าวเดินอย่างไม่ลังเล ก็มีอันถูกขัดจังหวะด้วยมือหนึ่งที่ยื่นมาสะกิดข้างหลัง
"ขอโทษน่ะครับ คุณจะไปโรงแรมแปซิฟิกหรือ? มันต้องไปทางนี้ตะหากครับ"
ชายหนุ่มคนนั้นบอกอย่างมีน้ำใจ ท่าทางเค้าคงจะเป็นเจ้าถิ่น
"อ่า ขอบคุณค่ะ"นางเอกของเรื่องส่งยิ้มแห้งๆให้เค้าหนึ่งที
"ผมก็จะไปทางนั้นพอดีไปด้วยกันมั้ยครับ?"เค้ายิ้มเช่นกัน
เป็นรอยยิ้มที่ดูสว่างสดใสมากๆในความคิดของนางเอก
"ขอบคุณค่ะ"
"คุณมาจากไหนครับ?"
"เมืองไทยค่ะ"
"ผมนึกว่าคุณเป็นญี่ปุ่นซะอีก แล้วคุณไปเที่ยวฮ่องกงดิสนีย์มารึยังครับ..."
รอยยิ้มของเค้ายังคงอยู่ใจความทรงจำลางๆ
แม้ว่าจะลืมถามชื่อของเค้า
แต่หนุ่มฮ่องกงคนนี้ก็ทำให้หนังเรื่องนี้กลายเป็นนวหนังโรแมนติกเรื่องนึงทีเดียว
แค่นี้ก็โรแมนติกมาโขแล้วสำหรับนางเอก
ของเรื่องนี้น่ะ...

น้ำส้ม

ห้าโมงเย็น ของอีกวันอันน่าเบื่อ
"สิบบาทครับ"
"ขอบคุณค่ะ"
เดินออกมาจากน้ำส้มรถเข็นเจ้าประจำตรงหน้าที่ทำงาน ในใจแอบไม่ค่อยเห็นด้วยที่สองผัวเมียที่ขายน้ำส้มมักกั้นคอกด้วยท่อพีวีซีให้ลูกเล็กๆเล่นอยู่ตรงนั้นบนฟุตบาท เรื่องสกปรกคงไม่ต้องพูดถึง แต่อย่างว่าไม่ใช่เรื่องอะไรของเราซักหน่อย เอาเรื่องตัวเองให้รอดซะก่อนเหอะ
กลับมานั่งที่โต๊ะทำงาน จริงๆก็ไม่ได้หิวน้ำเท่าไหร่ ก็แค่อยากอู้ ก็มันคิดอะไรไม่ออกเลยนี่ กระดาษหมดไปปึกใหญ่ แต่กลับไม่มีอันไหนมีเค้าว่าจะใช้ได้
จะได้เวลาเลิกงานแล้ว
วันนี้ก็คงเหมือนทุกวัน งานก็ยังใช้ไม่ได้อีก สะสมความเครียดสม่ำเสมอยิ่งกว่าสะสมตังค์ซะอีก
ทั้งที่ใครๆคิดว่าเราโชคดีแค่ไหนที่ได้ทำงานในบริษัทที่มีชื่อเสียงขนาดนี้
แต่เต็มไปด้วยความเครียดและกำลังใจที่ถดถอย ความสุข? เป็นคำที่ห่างไกลมาก
ความคิดสับสนวกวนพอๆกับทางออกจากที่ทำงาน
ฝนตกหนักมาหลายวันทำให้น้ำท่วมได้เร็วทันใจ
มองไปแล้วก็น่าสงสารผู้คนในแหล่งชุมชนที่อยู่กันแบบที่เรียกได้ว่าเป็นแค่เพิงมากกว่าเป็นบ้าน
เพราะน้ำทั้งท่วมทั้งรั่วขนาดนี้
นั่นมันสามพ่อแม่ลูกร้านน้ำส้มนี่นา เค้าอยู่กันตรงนี้นี่เอง
คิดแล้วสงสาร คงจะต้องทุกข์ร้อนกันไม่น้อยเลย

ห้าโมงเย็น ของวันที่ถัดจากวันที่น่าเบื่อแต่น่าเบื่อพอๆกัน
"สิบบาทครับ"
"ขอบคุณค่ะ"
ใบหน้าของคนขายยังยิ้มเหมือนเดิม และยิ้มกว้างขึ้นเป็นสองเท่าเมื่อเค้าหันหน้าไปมองตามเสียงหัวเราะของลูกชายตัวเล็ก
เดินออกมาจากน้ำส้มรถเข็นเจ้าประจำตรงหน้าที่ทำงาน ในใจแอบคิดว่า
โธ่เอ้ย ความสุขมันไม่ได้หายากเลยนี่หว่า
กลับมานั่งที่โต๊ะทำงาน ก็เช่นเคยยังคิดอะไรไม่ออกเท่าไหร่ แต่อาจจะเป็นเพราะของแถมจากร้านน้ำสัม รอยดินสอบนกระดาษออกจะดูมีความมุ่งมั่นมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
วันนี้ก็ฝนตกเหมือนเดิม
แต่ไม่เหมือนทุกวันหรอกน่ะ
เลิกงานแล้ว หิวข้าว กลับบ้านดีกว่า

วันเสาร์, พฤศจิกายน 19, 2548

การทดลอง

สมมุติฐาน
เวลาไม่มีอยู่จริง ชีวิตเป็นสิ่งสมมุติ
เวลาชั่ว 1 อายุคน คือ เวลาเรียน 1 ภาคการศึกษาของวิชาวิทยาศาตร์
การกระทำของคนตั้งแต่เกิดจนตาย เป็นโครงการทดลองวิทยาศาสตร์ของแต่ละคาบเรียน
จะเป็นไรไปถ้าการทดลองหลายๆครั้งล้มเหลว
ไม่ต้องเสียใจที่กระดาษลิสมัสของเราเป็นสีแดงไม่เหมือนๆเพื่อนๆที่ได้สีฟ้ากันหมด
จะเป็นไรไปถ้าจะลองเล่นเอาสารเคมีมาผสมกันมั่วๆ อาจจะระเบิดโต๊ะห้องแล็ปพัง
จะลองทำการทดลองประหลาดๆแค่ไหน ก็ไม่ต้องคิดให้มาก
ทุกคนที่จบม.หกแล้วก็คงเห็นด้วย เรียนจบมาแล้วก็เข้าใจได้ว่าจะเอาไปทำไมเกรด 4
มันก็ไม่ได้มีความหมายอะไร
บางคนอาจจะเถียงว่ามีความสุขกับเกรด 4
ความสุข? หรือว่าแค่สิ่งที่คนรอบตัวหลอกให้หลงกลคิดว่านี่คือความสุข
ทั้งๆที่ต้องเสียเวลาเล่นมานั่งท่องตำราทึ่มๆ ไปตั้งเยอะกว่าจะได้เกรดสี่ กว่าจะได้คำชม
พลาด!ที่มัวแต่นั่งท่องตำราเรียน เพื่อให้ได้ตามสิ่งที่คนรอบตัวรึสังคมกำหนดไว้
แต่ขณะที่พูดก็เริ่มรู้ตัวแล้วว่าหลงกลรอบสอง
สามทุ่มแล้วขณะที่นั่งอยู่หน้าจอสี่เหลี่ยม ทำงานที่ค้าง เพื่อให้งานเสร็จเร็ว งานดี เงินเดือนขึ้น
วันเสาร์ไปเรียนภาษาอังกฤษ เตรียมสอบ ไปเรียนต่อ
ไม่อายใครจบโทจากนอก พูดอังกฤษได้ ได้เงินเดือนมากขึ้นจากบริษัทซึ่งผู้หลักผู้ใหญ่บูชากระดาษสี่เหลี่ยมที่เรียกว่าปริญญา
ความสุข? หรือว่าแค่สิ่งที่คนรอบตัวหลอกให้หลงกลคิดว่านี่คือความสุข
มาทำการทดลองกันเถอะ