วันศุกร์, มีนาคม 30, 2550

ไดอารี่สไตล์ฮายาชิดะ

วันนี้ระหว่างนั่งประชุมก็ถามคนในแก๊งค์ว่าเราจะไปกินอะไรกันดี
ถึงจะไม่ค่อยหิวแต่ว่าเราอยู่ในแก๊งค์กินกระจายนี่น่ะ
เราคงจะต้องประกาศศักดาการกินของเราว่าเข้มแข็งแค่ไหน
ขึ้นชื่อว่าเป็นแก๊งค์กิน แต่ไม่เคยเข้าใจเลยว่าถามความเห็นคนในแก๊งค์ทีไรว่าอยากกินอะไรก็ได้แต่เบื้อใบ้ไร้ความคิดกันทุกคน เมื่อเย็นยังเซ็งเรื่องแครอทไม่หาย
ตอนใส่ผักลงในหม้อสุกี้ ก็แอบเล็งไว้แล้วว่าจะลวกแครอทที่มีอยู่แค่ 3 แว่นเพียงแว้บดียวเพื่ออนามัยที่ดี
แต่ไม่ควรทิ้งไว้ในหม้อนานเด็ดขาดจะทำให้เสียรสชาติและความกรอบไปจนหมดสิ้นไร้ศักดิ์ศรีและชาติสกุลของความเป็นแครอทจนไม่เหลือซาก แต่ก็มัวแต่พล่ามโน่นนี่กันจนลืมซะไปสนิท ปล่อยให้แครอทถูกต้มเปื่อยจนเละ เป็นเรื่องที่งี่เง่าสุดที่จะบรรยายจริงๆว้อย

วันจันทร์, มีนาคม 26, 2550

เวียด ๆ ตอน สไตล์ไซง่อน

แมงกะไซค์กะไซ่ง่อนเป็นของคู่กัน

บั๋นแซ่ว หรือที่บ้านเราเรียกขนมเบื้องญวน อร่อยเหาะ

ปอเปี๊ยะสด น้ำจิ้มรสเวียดนี่มีกลิ่นแปลกๆที่ไม่คุ้นลิ้นคนไทยเท่าไหร่


แฮงเอ้าท์ แบบเวียดๆ
น้ำชา มะพร้าว กาแฟเสอแด๊ แจ่แด๊ แค่นี้ก็สุขใจ

ออริจินัล มะพร้าวเวียด และหนุ่มเวียด
คุณถื่อเป็นคุณครูสอนภาษาเวียดคนแรกของเราก็ว่าได้ คอมหิว แควคอม ซินหลอย บาวงิว เติ๋นเต่ย แก๋มเอิง และอื่นๆอีกมากมาย


แฟชั่นสาวเวียด
จะครบชุดต้องมี หมวก แว่น ผ้าปิดปาก และถุงมือ

วันศุกร์, มีนาคม 23, 2550

หาย

ความเจ็บปวดหายไปไร้ร่องรอย
คงเพราะได้เข้าใจอย่างแท้จริงแล้ว
หากฉันทำสิ่งใดที่ทำให้เธอรู้สึกว่าอยากจะขอโทษฉันแม้ซักนิด
ช่วยลบความรู้สึกนั้นออกไป
เพื่อเป็นการยกโทษให้แก่ฉันเช่นกัน
ด้วยเหตุที่ฉันต้องทำให้เธอรู้สึกเช่นนั้น
เพราะในความเข้าใจอย่างลึกซึ้งนั้น
ไม่มีใครเป็นผู้กระทำ และไม่มีใครถูกกระทำ
ดังนั้นจึงไม่มีใครสร้างความเจ็บปวด และไม่มีใครต้องเจ็บปวด
เมื่อเข้าใจจึงเป็นอิสระ
เมื่อเข้าใจจึง หาย
เบา
สบาย

The Buddha is seen in the autumn leave.

ดอกกาแฟที่ร่วงหล่นกลายเป็นดาวบนผืนดินที่บั๊ดหงา
27 กุมภาพันธ์ 2550


2 มีนาคม 2550
ภาคบ่าย
สนทนาธรรม
...
ไม่ขอเรียกว่าคำคม แต่ขอเรียกว่า วาจาแห่งปัญญา
สมุดบันทึกวันนี้เป็นการรวบรวม วาจาที่ข้าพเจ้าได้ฟังมาจากเพื่อนร่วมกลุ่มสนทนาธรรม
โดยหลายคนได้ กล่าวยกวาจาที่แต่ละคนได้ฟังมาอีกที
แล้วได้พบแสงแห่งปัญญาภายในวาจาเหล่านั้น
ในมุมมองของแต่ละคน และนำมาแลกเปลี่ยนและแบ่งกันในสังฆะ
ในยามบ่ายๆใต้ชายคาศาลาในมุมสงบของวัดบั๊ดหงา
...
ของหญิง
ให้เราเป็นคนเลือกโอกาส อย่าให้โอกาสเป็นฝ่ายเลือกเรา
หลวงพี่นิรามิสา
...
ของนิ้ง
เริ่มต้นใหม่กับตัวเอง
หลวงพี่นิรามิสา
...
ของพี่โก๋
listen and do not re-act
หลวงปู่ ติช นัท ฮันห์
...
ของหลวงพี่พิทยา
เลือกสิ่งที่จะหล่อเลี้ยง รดน้ำเราให้เหมาะสม
หลวงพี่พิทยาเอง
...
ของจักร
เขียน journal อย่างเจริญสติ
หลวงพี่นิรามิสา
...

วันอังคาร, มีนาคม 20, 2550

Vietnam inside-in

24th-27th Febuary 2007

Unfortunately, I lost my Journal because of my forgivefulness.

28th Febuary 2007

:Morning
Are you sure?
...
Don't be so sure about what you are thinking.

:From The Orientation of the retreat
walking stable and light ...can you do that?

1th March 2007

:Morning
From Thay's Dharma talk

Sit still.

:Evening
We, the Sangkhajai, try to rewrite the sone " here is the pure land" in thai
But we totally fail! Anyway we enjoyed trying.

2ed March 2007

:5.30 am
We did sitting meditation together by the lake for 5 minutes.
I was so sleepy but I feel so peaceful and thankful for the time that had come for us to sit together like that,peaceful and beautiful moment.

:morning
Monastry, sisters and brothers chant the heart suttra in the meditation hall.

:and Practice Deep Listening to Thay's Dharma talk

here is what I lectured, well it's just some part of the whole.


"Practice relaxation.
when we talk we sit...when we relax the others around you will be relax too.
start from taking care of you body and then you can taking care of other people.
if we stress the other will stress by your words, behavior.
we have to learn the way to love others
all start from ourselves
if we're fall of anger, stress, irritations inside
you can not love others.
we have to love ourselves
be light.
today we will learn to love ourselves.
when we have worry, anger, stress, sadness, strong emotion
...how do you take care of it?
just come back to the present moment
be alive.
...how do you take care of it?
just like when you cut your finger by accident
the left hand will drop the knife and press on the wound of another hand

We have to recognise it.
How to deal with it?
mindfulness is the source of energy.
we cultivate the energy, freedom, stability by walking in mindful step.
mindful transform and change the energy of anger.

breathing in, I know my anger is rising.
breathing out, I'll be gentle to my anger and take care of it

We don't see anger as an enemy
anger is also friend.
no violence in mindfulness

our gentleness can penetrate to our anger
mindfulness can decrease the energy of anger,
decrease the pain, for those who practice.

to be mind ful is to be present.
if we lost we're forgetfulness.

to practice is to excite the second energy the positive energy to calm us from first energy, the fear, anger and strong emotion.

next step..
find the cause of the pain
look more deeply
usaully, our anger come from the wrong view , wrong perception.

We critisize
blaming them for our own suffering
just because we're unskillful
and we also make them suffer.

Practice compassionate listening
we won't react, critisize, blame
just listen to make them suffer less

though it will make us hurt but we continue listen.
and say please continue
please share
and we won't re-act right away
give them times and start to say to them
start from a bit
give them time to adjust

say could you please..
share your own suffering ....."

.....................................................................
to be continued
ps. I hope you all who read, didn't sleep while reading na hehehe

วันจันทร์, มีนาคม 19, 2550

Chapel of the Beguinage

Area around the Chapel of the Beguinage, Amsterdam, The Netherland

13 th March 2007,

ผ่านไปพบโบสถ์เล็กๆที่ตั้งอยู่บนถนนแคบๆแห่งหนึ่งหลบอยู่ในมุมสงบกลางกรุงอัมสเตอร์ดัมโดยบังเอิญ

โบสถ์เล็กๆที่ว่านี้รายล้อมด้วยบ้านแบบดัตช์ซึ่งเท่าที่มีป้ายเขียนบอกว่าเป็นกลุ่มละแวกที่ยังเหลือบ้านที่เก่าแก่มากๆ ตั้งแต่ ศตวรรษที่13 ซึ่งตัวบ้านบางหลังทำด้วยไม้ หาดูได้เพียง สองสามหลังที่หลงเหลืออยู่ ที่น่าสนในคือ ยังคงมีคนอาศัยอยู่กันต่อมาเรื่อยๆ สถาปัตยกรรมแบบดัตช์นี่ถือได้ว่าเป็นการออกแบบที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง

เท่าที่รู้ก็อาจนับมาไม่ลึกมาก แต่ก็จะเก็บมาเล่าให้ฟังในครั้งต่อไป
กลับมาที่เรื่องของโบสถ์เล็กๆหลังนี้ดีกว่า
ตัวโบสถ์เดิมก็เคยเป็นไม้แต่ถูกไฟไหม้ไป และได้ถูกสร้างใหม่เป็นอิฐในเวลาต่อมา

วันนี้โบสถ์เปิดและถือว่าโชคดีมากเพราะว่าโบสถ์ไม่ได้เปิดให้คนเข้าชมทุกวัน

ก็เหมือนทุกๆครั้งที่ไปเยือนบ้านเมืองใดที่มีสถานที่ทางศาสนา ก็อดไม่ได้ที่จะเข้าไปสัมผัสความรู้สึกของการอยู่ในสเปซนั้นๆ

โบสถ์นี้เป็นโบสถ์ที่พิเศษที่สุดที่ข้าพเจ้าเคยเข้าไปเยือนโบสถ์คาทอลิคไหนๆในโลก

ไม่ใช่ด้วยรูปแบบสถาปัตยกรรมที่หรูหรา

ไม่ใช่ด้วยรูปสลัก หรือ ลวดลายบนหน้าต่างใดๆ

เพราะโบสถ์นี้ไม่มีสิ่งที่ได้กล่าวมาเลย

แต่ตรงข้ามคือดูธรรมดามากๆ
หากเป็นคนก็คงเป็นคนที่หน้าตาเรียบๆ
แต่ดูสงบเสงี่ยม ถ่อมตน และมีแววความใจดีในดวงตา
บางทีอาจจะมีเสียงพูดที่เบาเหมือนเสียงลมกระซิบ
(ถ้าจิตนาการเพ้อเจ้อมากไปก้ออย่าใส่ใจ แค่พยายามจอธิบายให้เห็นภาพกะบรรยากาศน่ะคับ)

ข้าพเจ้าเดินตรงไปตามทางที่สองข้างมีเก้าอี้ไม้ยาวสำหรับนั่งสวดมนต์

และหยุดเพื่อนั่งลงที่เก้าอี้ทางซ้ายมือ

สายตาหยุดลงที่ตัวหนังสือภาษาอังกฤษที่เขียนบนกำแพงโบสถ์

" Create in me a clean heart O God "

โดยไม่รู้ตัวและไม่ได้คิดว่าข้าพเจ้านับถือศาสนาใด

แต่ขณะที่ตามองและสมองอ่านตัวอักษรนั้น

ใจของข้าพเจ้าได้สวดอ้อนวอนไปตามนั้นจริงๆ

หลังจากได้นั่งอยู่ที่นั่นซักพัก

ก็ก้มลงอ่านเอกสารแผ่นหนึ่งที่ได้รับตอนผ่านเข้าประตูโบสถ์มา

เป็นเรื่องราวความเป็นมาของโบสถ์แห่งนี้ซึ่งมีความเก่าแก่มากทีเดียว

และบนแผ่นกระดาษทางด้านขวามีข้อความซึ่งข้าพเจ้าประทับใจอย่างมากเขียนไว้ว่า

"Within these walls let no one be a stranger"

ข้าพเจ้าเกิดคำถามบางอย่างในใจ

พวกเราจำนวนมากแปลและตีความสิ่งที่แต่ละศาสนาของเราสอนอย่างผิดๆ

นำพาให้เกิดความขัดแย้งและความรุนแรงมากมายขึ้นในโลก

หากเราศึกษาให้ถึงแก่นของศาสนาแต่ละศาสนาแล้ว

เชื่อว่าแท้จริงแล้วคงไม่มีศาสนาใดที่จะสอนให้เราต่อสู้กันเพื่อความเป็นตัวตนของเรา
ว่าเราถูกและคนอื่นผิด ว่าพระเจ้าของเรามีแต่ของท่านไม่ใช่
หรือคงไม่มีในคัมภีร์ใดสอนและอนุญาตให้เราทำร้ายคนในต่างศาสนา

ศาสนาอาจเปรียบเหมือนบ้านของพวกเราทุกคน

แต่เราต้องรู้จักจะใช้ประตูและหน้าต่างของบ้านเพื่อเข้าออกอย่างเป็นอิสระ

และเราต้องรู้ด้วยว่ายังมีบ้านอีกมากมายในชุมชนของเรา

และพวกเค้าต่างมีความต้องการพื้นฐานทางด้านจิตใจและทางกายไม่ต่างไปจากเรา

อย่าใช้บ้านของเราอย่างผิดๆ
อย่าใช้บ้านของเราเป็นป้อมปราการเพื่อการต่อสู้
อย่าใช้กำแพงบ้านของเราเป็นคุกกักขังตัวของเราเองเลย




วันอาทิตย์, มีนาคม 18, 2550

Journey outside-in

...
อำลาอัมสเตอร์ดัม
อาทิตย์ก็กำลังอำลาขอบฟ้า
เพื่อเจอกันใหม่พรุ่งนี้
...

ถึงจะเป็นการเดินทางลำพัง
แต่ก็ได้ผ่านพบ
หลากหลายผู้คน
ในหลายหลากสถานที่
ดี และไม่ดี ก็เกิดเป็นสิ่งดีที่เราได้เรียนรู้ทั้งนั้น
มีสมุดกับปากกาเป็นเพื่อนเดินทาง
มีหนังสือดีเหมือนมีครู
ได้อยู่กับตัวเอง และได้อยู่กับสิ่งรอบตัว
หายใจเข้า หายใจออก
ครั้งนี้ได้อยู่กับสิ่งที่อยู่ระหว่างทางเสมอๆ
มากกว่าอยู่กับการรอคอยให้ถึงจุดหมายปลายทางที่ใดที่หนึ่ง
การเดินทางที่ยาวนานคราวนี้
ได้เดินทางลึกเข้าไปภายในด้วย
เงียบจนได้ยินเสียงชัด
พบ เห็น เป็น คิด
แต่ก็ไม่เป็น ไม่คิด ไม่ตัดสิน ได้มากขึ้น
สีขาวกลับเทาขึ้น และสีดำก็เทาลง
ตัวตนเบาขึ้นหน่อย จึงลอยตัวออกมาได้ไกลขึ้น และเห็นกว้างกว่าเดิมอีกนิด
และเป็นปรกติกับสิ่งที่เกิดกับตัวเองมากขึ้น
แล้วยังเห็นสิ่งที่เกิดกับคนอื่นมากขึ้นด้วย
แน่ใจมากขึ้นอีกนิดกับทางที่คิดจะเดิน
นึกไปถึงเรื่องในหนังสือตอนหนึ่ง
มีคำพูดของอาจารย์เซนท่านหนึ่งที่กล่าวถามไว้ว่า
"เราจะเดินตรงไปบนถนนในภูเขาที่มีอยู่เก้าสิบโค้งได้อย่างไร"
และท่านก็เฉลยว่า "ก็เดินตรงไปตามทางโค้งสิเธอ"
อย่ามัวมองหาทางลัด หรือเดินไปตามทางที่เราไม่เชื่อ
การเดินไปตามทางที่เรารู้ดีแก่ใจแล้วป็นทางที่ใช่
ย่อมทำให้เราไม่คิดถอยกลังกลับแม้ว่าทางจะไกลและคดโค้ง
และแม้เราอ่อนแอแค่ไหนในบางขณะก็ตาม

ปล. อ่านแล้วไม่รู้เรือ่งก็อย่าใส่ใจกันให้มาก ไว้จะเอาชอตตลกๆมาเล่าให้ฟัง มีเพียบ

วันเสาร์, มีนาคม 17, 2550

Men, War and Peace


"I have been a witness, and these pictures are
my testimony. The events I have recorded should
not be forgotten and must not be repeated."
-James Nachtwey-

วันจันทร์, มีนาคม 12, 2550

About to leave Berlin(another boring journal)

Finally I decided to buy a damn expensive ticket to Amsterdam because I am a bit boring of getting around Berlin in such a cold cold weather and American breakfast though I still have no idea how to get back here to catch the flight home.

Been to three museums today. what was wrong is me that I am not too much in a mood. But it is quite cool. I saw the real Nefertiti (the most beautiful Queen of Eyept if you still remember what we used to study in the history of art subject) at the altes museum it is really beautiful..indeed! and special exhibition of miniature painting, print and book making of the acient european time and so many things of course the pieces of berlin wall. How lucky I am to see so many great works of art. the Monet, Picasso, Rietveld, Brascusi, Alxander Calder, Raphalle, Ruben and a lots of unknown acient artists

Walking in Deutsches Historishes Museum,Wondering why Human like us can be so stupid as much as we are clever enough to create the Nuclear Bomb. It is not the first Museum in this world I have seen that all things related to the war and violence in some way no matter how beautiful they are.We have a million of lessons from 5000 years ago,2000 years ago,100 years ago but today it is still keep going on.Things that kept in Museum won't mean a thing at all if it can't make us realise what the war brought to us.

Peace is all we need.

วันพุธ, มีนาคม 07, 2550

"I was there"


the camera does not lie, the approching storm, the death strip in berlin, it was real. jesus on the cross, who know. it was so long ago. true or false. it must have been flesh and blood and stone and mortar. othewise it would not be on film.



Helmut Newton

Monte Carlo, 1991

Museum of Photography, Berlin