วันอาทิตย์, ธันวาคม 17, 2549

.



ก็เพียงม่านบังตา

"เรื่องเล่าหนึ่งในอิสลาม กล่าวถึงชายผู้หนึ่ง ซึ่งถามเพื่อน ๓ คน ว่าหากเขาตาย เพื่อนจะช่วยอะไรเขาได้บ้าง คนแรกตอบว่าจะเตรียมโลงและผ้าห่อศพให้ คนที่สองตอบว่าจะช่วยแบกโลงไปที่หลุมฝังศพ ส่วนคนที่สามตอบว่าจะลงไปอยู่เป็นเพื่อนในหลุมฝังศพและช่วยตอบคำถามต่อเทวทูต เพื่อนทั้งสามคนเป็นดังอุปมาของสิ่งที่ติดตามตัวเราไปได้เมื่อตายแล้ว เพื่อนคนแรกคือทรัพย์สินเกียรติยศ เพื่อนคนที่สองคือครอบครัวญาติพี่น้อง ส่วนเพื่อนคนสุดท้ายก็คือ อาม้าล หรือกรรมดีกรรมชั่วนั่นเอง ความตายในอิสลามก็มิใช่ความตายเชิงปัจเจก หากยังมีความอยุติธรรมในสังคม มีความบีบคั้นเบียดเบียน ชาวมุสลิมย่อมไม่อาจดูดายได้เช่นกัน ดังถ้อยคำในพระคัมภีร์ที่ว่า “จะเข้านอนได้อย่างไร หากเพื่อนบ้านยังหิวอยู่” "

อ่านบทความทั้งหมดที่ http://jitwiwat.blogspot.com/2006/09/blog-post_24.html

เมื่อก่อนเราเป็นคนที่ไม่เคยได้มีความรู้เรื่องหลักคำสอนของชาวมุสลิมเลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาที่ได้มีโอกาสลงไปสงขลาและพบกับน้องๆกลุ่มเยาวชนใจอาสาซึ่งทำงานลงพื้นที่ลงไปให้ความช่วยเหลือทางจิตใจกับชาวบ้านที่ได้รับความบาดเจ็บ หรือแม้กระทั่งคนในครอบครัวเสียชีวิต โดยไม่ได้ทำอะไรผิดอย่างที่โดนกล่าวหา นับเป็นครั้งแรกที่ได้มีเพื่อนๆเป็นชาวมุสลิม และได้เห็นว่าเราก็เหมือนกันนั่นเอง หลังจากนั้นจึงได้เริ่มมีโอกาสอ่านบทความหรือคำสอนในอัลกุรอานบ้างถึงจะไม่มากนัก แต่ก็ทำให้รู้สึกว่าชาวมุสลิมมีหลักคำสอนที่น่ายกย่องเป็นอย่างมากและเป็นหลักคำสอนเพื่อความสงบสุขของสังคมไม่ต่างไปจากคำสอนของพุทธศาสนา
ในความเห็นส่วนตัวแล้วอยากให้ทุกคนไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด หรือแม้แต่คนที่ไม่ระบุตัวเองว่านับถือศาสนาใดอย่างเช่นตัวเราก็ตามเปิดใจเพื่อที่จะศึกษาวิถีความคิดของคนในศาสนาอื่นๆบ้าง น่าจะทำให้เรามีอัตตาเล็กลงรวมถึงเข้าใจกันและกันมากขึ้น ซึ่งความเข้าใจซึ่งกันและกันนั้นน่าจะเป็นบ่อเกิดแห่งสันติภาพอย่างแท้จริง

หากใครอยากติดตามข่าวสารความเป็นไปของภาคใต้ขอแนะนำ เว็บไซด์ศูนย์ข่าวอิศรา อีกที่ที่อาจจะได้รับรู้เรือ่งราวอย่างที่เป็นไป
http://www.tjanews.org/cms/
ปล.น้องๆชาวเยาวชนใจอาสาสู้ต่อไปน่ะจ๊ะ คงจะได้เจอกันอีกแน่เร็วๆนี้

ไม่มีความคิดเห็น: