วันนี้เรามีสังฆะกันที่ร้านพี่โก๋
เรื่องหนึ่งที่เรานำมาคุยกันคือ อะไรคือความหมายของคำว่า
please call me by my true name
(อ่านบทเต็มได้จาก www.sangkhajai.wordpress.com)
หลังจากที่ฟังความเข้าใจในแบบของพี่โก๋แล้ว
พี่โก๋พูดถึงการ
ไม่ตัดสินแบ่งแยกออกเป็นสอง(non dualistic view)
และสหสัมพันธ์(interbeing)
ในหัวแว้บนึกถึงตัวอย่างที่ตัวเองได้พบและเรียกว่า "อิน"
เรียกว่า เข้าใจด้วยสิ่งที่พบเจอกับตัวเอง ความรู้สึกของตัวเองจริงๆ
ไม่ใช่ประสบการณ์จากการอ่านหรือการฟัง
คือเรื่องเด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง ที่เคยได้พบที่โรงเรียนครูปู่
เด็กหนุ่มคนนั้นสามารถพูดถึงการขโมย การตี ฟัน หัวคนได้อย่างเฉยชา
ในเชิงของ dualistic view เค้าคือคนร้าย
กลับกันเค้ามีครอบครัวแหลกเหลวแม่ทิ้งและไม่มีพ่อ
จำได้ชัดว่าได้มองเข้าไปในดวงตา ที่ว่าง และไร้ความรู้สึก เย็นเยียบดวงนั้น
แล้วเกิดคำถามว่าเค้าคือผู้ร้ายหรือเหยื่อกันแน่
เค้าไม่ใช่เหยื่อจากพ่อแม่ของเค้าเท่านั้น เค้าถูกกระทำด้วยพวกเราทุกคน สังคม
แม้กระทั่งตัวเราเองก็อาจเป็นส่วนหนึ่งที่กระทำให้เค้าเป็นเช่นนั้น
การที่เค้าขโมยของ หากลองคิดให้ดีใช่หรือไม่ที่เราเป็นส่วนหนึ่งของการร่วมก่อร่างสร้างความมั่นคงของลัทธิบริโภคนิยม
อันก่อให้เกิดความอยากได้อยากมีจนเป็นเหตุให้เค้าต้องขโมย หรือทำร้ายคนเพื่อการได้มาซึ่งวัตถุ
เปรียบเทียบกรณีภาคใต้กับ หัวข้อข่าวที่เป็นข่าวใหญ่สำหรับวันนี้
"คนร้ายลอบวางบึ้มใต้หลายจุด เมืองยะลา8จุด-ปัตตานีไฟดับ"
วันอาทิตย์ ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2550 Posted by มหาเนชั่น : 20:30:24 น.
คนร้ายเป็นคนร้ายจริง หรือเค้าก็เป็นผู้ถูกกระทำคนหนึ่ง
โชคไม่ดีที่คนร้ายเกิดมาในสภาพแวดล้อมที่หล่อหลอมให้เค้าเป็นคนร้ายในสังคม
เค้าสมควรได้รับความรักและเข้าใจจากเราทุกคน
เพราะความเลวร้ายไม่ได้หยุดได้ด้วยการทำร้ายตอบ
การทำร้ายตอบกันแบบตาต่อตาฟันต่อฟันเกิดจากความไม่เข้าใจว่าเราทุกคนนั้นสัมพันธ์กันอย่างแท้จริง
จุดเริ่มต้น คือการทำความเข้าใจว่าเราเองก็มีส่วนในการกระทำที่เราเรียกว่าการกระทำอันเลวร้ายนั้นด้วย
...Please call me by my true names,
so I can hear all my cries and laughter at once,
so I can see that my joy and pain are one.
Please call me by my true names,
so I can wake up and the door of my heart
could be left open,
the door of compassion.
วันอาทิตย์, กุมภาพันธ์ 18, 2550
วันเสาร์, กุมภาพันธ์ 17, 2550
สังฆะใจ
วันศุกร์, กุมภาพันธ์ 16, 2550
บันทึกคนบ้า
เป็นเวลากว่า 5 เดือนมาแล้ว
ที่ร้องไห้ จนอยากจะบันทึกไว้เป็นบันทึกความบ้า
ร้องตอนเช้า ร้องตอนสาย ร้องตอนบ่าย ร้องตอนเย็น ร้องตอนมืด ร้องกลางดึก
ร้องบนรถ ร้องบนทางด่วน ร้องในลานจอดรถ
ร้องตอนฝนตก ร้องตอนแดดออก
ร้องตอนรถติด ร้องตอนรถวิ่ง
ร้องบนฟุตบาธ ร้องในห้าง ร้องในสวน
ร้องริมทะเล ร้องในวัด
ร้องบนสนามหญ้า ร้องข้างๆกองขี้หมา
ร้องตอนหลับ ร้องตอนตื่น ร้องตอนฝัน
ร้องตอนกิน ร้องตอนหัวเราะ ร้องตอนร้อง
ร้องในห้องนอน ร้องในห้องน้ำ ร้องหน้าจอคอม
ร้องในร้านอาหาร ร้องในสวนลุมไนท์ ร้องในงานแสดงศิลปะ
ร้องคนเดียว ร้องกับเพื่อน
ร้องเบาๆ ร้องเงียบๆ ร้องดังๆ ร้องดังมากๆ
ร้องๆหยุดๆ ร้องๆไม่หยุด
...ร้องเหมือนคนบ้าฟูมฟาย เมามายน้ำตา
บางครั้งอาจร้องเพื่อให้เข้าใจความเจ็บปวด
บางครั้งอาจร้องให้เหมือนยาชาเพื่อปิดกั้นการรับรู้ความเจ็บปวด
บางครั้งร้องแล้วยิ่งเจ็บ ก็ร้องดังขึ้นอีก
ยังไม่หายทรมานเหมือนสัตว์นอนบาดเจ็บที่ช่วยตัวเองไม่ได้
บางครั้งก็ร้องด้วยความกลัว
บางครั้งก็ร้องแค่ร้องเหมือนเป็นสิ่งเดียวที่ทำได้
ขณะที่ตื่นมาจากฝันร้าย จิตใจที่อ่อนแอ
ขาดจากความสามารถในการใช้ส่วนที่เป็นเหตุผลเข้าช่วย
มีแต่น้ำตา กับอารมณ์ และความมืด
ร้องไห้ แต่ทุกวันก็หัวเราะ
บางทีรู้สึกสั่น จนเหมือนจะเอาตัวเองไม่อยู่
เหมือนเป็นคนบ้าหรือไง
ร้องไห้แล้วหัวเราะ หัวเราะแล้วร้องไห้
พยายามเข้าใจ แต่บางครั้งก็อธิบายเป็นคำพูดไม่ได้ว่า
ในที่สุดแล้ว ก็ไม่ได้เข้าใจอะไร
เป็นเพียงผู้หญิงอกหัก
...และเอาแต่ร้องไห้
อยากจะเป็นอิสระ และรักอย่างแท้จริง
บางทีก็เห็นว่าที่สุดแล้วไม่มีความเจ็บปวดของใครใหญ่หรือเล็กไปกว่ากัน
บางทีก็เข้าใจถึงอารมณ์ความเจ็บก็ไม่ต่างอะไรจากความสุข
เป็นอารมณ์ที่สุดขั้วไปคนละด้าน
แต่ไม่ใช่บวกและไม่ใช่ลบ
ไม่มีอะไรดีแย่ไปกว่ากัน
บางทีรู้สึกว่าการเป็นคนที่มีอารมณ์มากมายอย่างนี้
ก็ทำให้เข้าใจ เข้าใจอะไรได้มากเลยทีเดียว
แต่ในบางที
...อ่อนแอ
และต้องการเพียงแค่การโอบกอดและปลอบโยน
บอกกับฉันได้มั้ยว่าฉันจะไม่ต้องร้องไห้อีกแล้ว
บอกฉันได้มั้ยว่าเธอเป็นห่วงฉัน
และช่วยฉันขับไล่ฝันร้าย
บางครั้งการไม่กระทำก็เป็นการกระทำ
ในขณะที่บางการกระทำก็ช่างไร้ซึ่งความหมาย
แต่ในบางครั้ง
...ไม่สามารถเข้าใจอะไรไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว
เป็นเพียงผู้หญิงอกหัก
บ้าบอฟูมฟาย เมามายน้ำตา
...บันทึกคนบ้า บ้ายังไม่จบ...
ที่ร้องไห้ จนอยากจะบันทึกไว้เป็นบันทึกความบ้า
ร้องตอนเช้า ร้องตอนสาย ร้องตอนบ่าย ร้องตอนเย็น ร้องตอนมืด ร้องกลางดึก
ร้องบนรถ ร้องบนทางด่วน ร้องในลานจอดรถ
ร้องตอนฝนตก ร้องตอนแดดออก
ร้องตอนรถติด ร้องตอนรถวิ่ง
ร้องบนฟุตบาธ ร้องในห้าง ร้องในสวน
ร้องริมทะเล ร้องในวัด
ร้องบนสนามหญ้า ร้องข้างๆกองขี้หมา
ร้องตอนหลับ ร้องตอนตื่น ร้องตอนฝัน
ร้องตอนกิน ร้องตอนหัวเราะ ร้องตอนร้อง
ร้องในห้องนอน ร้องในห้องน้ำ ร้องหน้าจอคอม
ร้องในร้านอาหาร ร้องในสวนลุมไนท์ ร้องในงานแสดงศิลปะ
ร้องคนเดียว ร้องกับเพื่อน
ร้องเบาๆ ร้องเงียบๆ ร้องดังๆ ร้องดังมากๆ
ร้องๆหยุดๆ ร้องๆไม่หยุด
...ร้องเหมือนคนบ้าฟูมฟาย เมามายน้ำตา
บางครั้งอาจร้องเพื่อให้เข้าใจความเจ็บปวด
บางครั้งอาจร้องให้เหมือนยาชาเพื่อปิดกั้นการรับรู้ความเจ็บปวด
บางครั้งร้องแล้วยิ่งเจ็บ ก็ร้องดังขึ้นอีก
ยังไม่หายทรมานเหมือนสัตว์นอนบาดเจ็บที่ช่วยตัวเองไม่ได้
บางครั้งก็ร้องด้วยความกลัว
บางครั้งก็ร้องแค่ร้องเหมือนเป็นสิ่งเดียวที่ทำได้
ขณะที่ตื่นมาจากฝันร้าย จิตใจที่อ่อนแอ
ขาดจากความสามารถในการใช้ส่วนที่เป็นเหตุผลเข้าช่วย
มีแต่น้ำตา กับอารมณ์ และความมืด
ร้องไห้ แต่ทุกวันก็หัวเราะ
บางทีรู้สึกสั่น จนเหมือนจะเอาตัวเองไม่อยู่
เหมือนเป็นคนบ้าหรือไง
ร้องไห้แล้วหัวเราะ หัวเราะแล้วร้องไห้
พยายามเข้าใจ แต่บางครั้งก็อธิบายเป็นคำพูดไม่ได้ว่า
ในที่สุดแล้ว ก็ไม่ได้เข้าใจอะไร
เป็นเพียงผู้หญิงอกหัก
...และเอาแต่ร้องไห้
อยากจะเป็นอิสระ และรักอย่างแท้จริง
บางทีก็เห็นว่าที่สุดแล้วไม่มีความเจ็บปวดของใครใหญ่หรือเล็กไปกว่ากัน
บางทีก็เข้าใจถึงอารมณ์ความเจ็บก็ไม่ต่างอะไรจากความสุข
เป็นอารมณ์ที่สุดขั้วไปคนละด้าน
แต่ไม่ใช่บวกและไม่ใช่ลบ
ไม่มีอะไรดีแย่ไปกว่ากัน
บางทีรู้สึกว่าการเป็นคนที่มีอารมณ์มากมายอย่างนี้
ก็ทำให้เข้าใจ เข้าใจอะไรได้มากเลยทีเดียว
แต่ในบางที
...อ่อนแอ
และต้องการเพียงแค่การโอบกอดและปลอบโยน
บอกกับฉันได้มั้ยว่าฉันจะไม่ต้องร้องไห้อีกแล้ว
บอกฉันได้มั้ยว่าเธอเป็นห่วงฉัน
และช่วยฉันขับไล่ฝันร้าย
บางครั้งการไม่กระทำก็เป็นการกระทำ
ในขณะที่บางการกระทำก็ช่างไร้ซึ่งความหมาย
แต่ในบางครั้ง
...ไม่สามารถเข้าใจอะไรไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว
เป็นเพียงผู้หญิงอกหัก
บ้าบอฟูมฟาย เมามายน้ำตา
...บันทึกคนบ้า บ้ายังไม่จบ...
วันพุธ, กุมภาพันธ์ 14, 2550
ฝน คือน้ำ น้ำคือ ฝน
ฝนเคยตก
พื้นเจ่งนองน้ำ
สายลมพัด
เหือดแห้งหายไป
ซะที่ไหน
ขุดลงไป
น้ำขังในดิน
น้ำไหลรวมกัน
คนเจาะมาใหม่
เอาน้ำมาใช้
ดื่ม อาบ กิน
คนตายกลายเป็นดิน
ฝนตกอีกรอบ
น้ำเจ่งนองพื้น
เหมือนความฝันที่สั่นระริก
วันอาทิตย์, กุมภาพันธ์ 11, 2550
.
So far, I know my anger and fear is still remain.
And so do a ton of garbages.
I don't know when I'll be free from them.
Only thing I know, I'm going to love them more and more
I'll give kindness and understanding to my own garbage.
Pherhaps someday my garbage may bloom like a flower
, may pure like a dew.
Someday... may it's not too long.
And so do a ton of garbages.
I don't know when I'll be free from them.
Only thing I know, I'm going to love them more and more
I'll give kindness and understanding to my own garbage.
Pherhaps someday my garbage may bloom like a flower
, may pure like a dew.
Someday... may it's not too long.
- -'
เมื่อสิ่งที่อยากทำก็อยากจะทำ เมื่อสิ่งที่ต้องทำก็ต้องทำ
ก็เอ้า ทำ ทำ ให้หมดเลย แล้วกัน
มันก็น่าสนุกตื่นเต้นไปอีกแบบ วิ่งไปเวียดนาม
เวียดนามกลับมาเมืองไทย รุ่งขึ้นเหาะไปเยอรมัน
ตังค์หมดแน่ๆทีนี้ก็ต้องกินผักบุ้งที่วัดอย่างเดียวเลยครับพี่น้อง
ช่วยกันภาวนาให้ข้าพเจ้าเอาตัวรอดกับสองรายการยักษ์ใหญ่นี่ได้ที
เพี๊ยง!
ก็เอ้า ทำ ทำ ให้หมดเลย แล้วกัน
มันก็น่าสนุกตื่นเต้นไปอีกแบบ วิ่งไปเวียดนาม
เวียดนามกลับมาเมืองไทย รุ่งขึ้นเหาะไปเยอรมัน
ตังค์หมดแน่ๆทีนี้ก็ต้องกินผักบุ้งที่วัดอย่างเดียวเลยครับพี่น้อง
ช่วยกันภาวนาให้ข้าพเจ้าเอาตัวรอดกับสองรายการยักษ์ใหญ่นี่ได้ที
เพี๊ยง!
หลวงพี่นิรามิสา
ปล. อ่านหนังสือพิมพ์ The Nation วันนี้ หน้า 58 section body & soul กันหรือยัง เป็นบทความสัมภาษณ์หลวงพี่นิรามิสา ในหัวข้อ 'What is love?' จะเก็บไว้ให้อ่านถ้าใครไม่ได้รับ the nation น่ะจ๊ะ
อ่อ และอีกที่หนึ่ง ที่มีบทความเข้าไปอ่านได้ ที่กรุงเทพธุรกิจ http://www.bangkokbiznews.com/bodyheart/
ปล. อ่านหนังสือพิมพ์ The Nation วันนี้ หน้า 58 section body & soul กันหรือยัง เป็นบทความสัมภาษณ์หลวงพี่นิรามิสา ในหัวข้อ 'What is love?' จะเก็บไว้ให้อ่านถ้าใครไม่ได้รับ the nation น่ะจ๊ะ
อ่อ และอีกที่หนึ่ง ที่มีบทความเข้าไปอ่านได้ ที่กรุงเทพธุรกิจ http://www.bangkokbiznews.com/bodyheart/
วันศุกร์, กุมภาพันธ์ 09, 2550
:)
วันนี้มีความสุขจังแม้ว่าวิทยุจะพังเปิดเจอเพลงเศร้าก็ยังขำเจอเพื่อนก็อยากอำหยุดยิ้มไม่ได้ทั้งวันสุขจัง ลั๊ล ลัล ลา
...
วันพุธ, กุมภาพันธ์ 07, 2550
I am a blogger!
เคยคิดว่าเราเขียนบล็อคเพื่ออะไร
ทั้งๆที่สามารถเรียกตัวเองได้ว่าเป็นคนเขียนบล็อคสม่ำเสมอประเภทที่ไม่เคยดองบล็อคตลอดปีเศษๆที่เขียนมา
แต่ก็มีหลายครั้งที่คิดจะเลิกเขียนบล็อคซะ
เพราะไม่แน่ใจว่าตัวเองเขียนบล็อคเพื่ออะไรกันแน่
....บางครั้งก็รู้สึกว่าคนที่เค้าไม่เขียนคงเพราะมีธุระยุ่งๆมากมายให้ทำ แต่เรามันคนว่างๆรึไงกันหนอ
....บางครั้งก็รู้สึกว่าข้ามเส้นของการเขียนที่เป็นเรื่องส่วนตัวจนเกินไปลงในบล็อค
....ในทางตรงกันข้าม บางครั้งเมื่อได้ไปอ่านบล็อคคนอื่นที่กล้าที่จะเขียนสิ่งที่ออกมาจากความรู้สึกของเค้าออกมา ก็รู้สึกว่าสัมผัสได้ถึงความเป็นมนุษย์และความกล้าหาญที่จะเขียน มากไปกว่านั้นก็ได้เรียนรู้อะไรบางอย่างจากทุกๆโพสต์ของทุกๆคน อยู่ที่เราจะมองเห็นแง่มุมไหน
....บางบล็อคที่เราพบเจอโดยบังเอิญเป็นบล็อคของผู้มีความรู้หลากหลายสาขาต่างกันไป อ่านแล้วก็นับถือในความใจดีของท่านเหล่านั้น ที่มีความเข้าใจในลักษณะการเชื่อมโยงสังคมแนวใหม่ของคนรุ่นหลัง และปรับตัวเข้ามาหา เป็นประโยชน์กับทั้งผู้เป็นผู้ใหญ่เองที่จะได้สื่อสารกับคนรุ่นเด็กกว่าอย่างมีช่องว่างน้อยลง และผู้น้อยที่ได้ความรู้จากผู้ใหญ่
....บางบล็อคที่ได้แวะเวียนก็เต็มไปด้วยประสบการณ์ชีวิตต่างๆที่เจ้าของไม่หวงที่จะมาแบ่งปัน ข้อดีไปกว่านั้น บ้างก็ไม่ได้เป็นการเผยแพร่โดยมีข้อจำกัดของธุรกิจการค้า จึงออกมาในรูปแบบที่ไม่มีกรอบที่น่าอึดอัดและสนุกอย่างมาก
....บางทีบล็อคยังทำให้เรารู้สึกว่าเจอเพื่อน เพื่อนที่อาจจะเข้าใจเรามากกว่าเพื่อนที่นั่งโต๊ะทำงานข้างๆกันทุกวันซะอีก
....บางทีบล็อคทำให้เราได้ไตร่ตรองในสิ่งที่เราคิด พูด ทำ มากกว่าการเขียนไดอารี่เป็นเล่ม แต่ก่อนการเขียนไดอารี่ของตัวเองเสมือนการระบายอารมณ์ซะละมากกว่า เขียนแล้วก็จบกัน
....บางคนว่าการเขียนบล็อคมากเกินไป ก็จะทำให้เราไม่ต่างไปจาก หนังสือที่เปิดหรา และไม่มีอะไรที่น่าสนใจอีกต่อไป
....จริงหรือที่เราสามารถบอกทุกอย่างลงไปในบล็อค ขนาดตัวเองยังบอกตัวเองได้ไม่หมดเลยนิ
....บล็อคอาจเป็นแค่ เศษ 1 ส่วน อนันต์ เมื่อเทียบกับสิ่งที่เรายังไม่เคยรู้มาก่อน
....น่าจะเรียกว่าบล็อคคือ improvisation จะเหมาะกว่า
หรือเป็น open-ended journal จะเหมาะกว่า คำว่า open book
....บล็อคของเราเป็นพื้นที่ที่ต้อนรับเพื่อนๆทุกคนที่แวะเวียนเข้ามาทักทายกัน มารู้จักกัน มาแบ่งปันเรื่องสนุก เรื่องเศร้า ยินดีต่อกัน ปลอบใจกัน
บางทีก็เอาโน่นนี่มาอวดเพื่อนบ้าง บางทีก็อ้อนเพื่อนให้โอ๋บ้าง บางทีก็เอาเรือ่งตลกๆมาเล่าให้ฟังบ้าง
คิดๆไปแล้วบล็อคอาจถือเป็นนวัตกรรมขั้นสูงเลยทีเดียวสำหรับวันอันเงียบเหงาของใครบางคน
:)
วันอังคาร, กุมภาพันธ์ 06, 2550
ว่าด้วยความเพ้อเจ้อของคนป่วย
ในยามที่ความเจ็บไข้เข้ามาถามหา
แม้จะนอนเฉยๆอยู่บนเตียง และเพียงแค่ขยับตัวพลิกแขนขาซักนิดหน่อย
ไม่ได้ต้องการออกแรงกำลังอะไรมาก ยังรู้สึกว่าอวัยวะต่างๆช่างควบคุมยากเหลือเกิน
ดูเหมือนแขนก็ไม่ใช่แขนของเรา ขาของเราก็ไม่ฟังที่เราสั่ง หรือไม่ก็ทำตามอย่างเสียไม่ได้ซะจริงๆ
เวลาที่ไข้ขึ้นสูง หัวหมุนติ้วๆ จนตัวร้อนไปหมด แต่มือเท้าเย็นเฉียบและยังหนาวอยู่ทั้งที่เหงื่อออกนั้น
ทำให้รู้สึกว่าร่างกายที่เป็นบ้านของเรามาตลอดชีวิตช่างไม่น่าอยู่เอาซะเลย
แต่ดูเหมือนจะทำอะไรไม่ได้นอกจากทำใจอยู่กับมันอย่างนั้น
ร่างกายของเราก็เป็นของที่เราหยิบยืมมาจากบรรพบุรุษของเรา
ไม่ว่าจะแข็งแรง หรืออ่อนแอ ครบ หรือขาด งาม หรืออัปลักษณ์ ก็ไม่เที่ยงทั้งนั้น
ถึงเวลาหนึ่งก็ต้องคืนกลับไป
ร่างกายมาพร้อมกับ การรับรู้ ได้แก่ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส
ร่างกายมาพร้อมกับความเป็นมนุษย์อย่างเต็มขั้น
การรับรู้เหล่านี้สามารถทำให้เราเข้าใจเพื่อนมนุษย์ด้วยกันรวมถึงสิ่งมีชีวิตอื่น
ถ้าไร้ซึ่งการรับรู้ เราคงไม่ต่างจากวัตถุชิ้นหนึ่ง ที่ไม่รู้จักความสุข ความเจ็บปวดอย่างมนุษย์
แม้มนุษย์จะสามารถสงบนิ่งได้ แต่ก็ไม่ใช่เฉยชา นั่นคงเป็นความต่างของการเป็นมนุษย์และวัตถุ
ขณะเดียวกันการรับรู้ก็สามารถเป็นกับดักให้เราหลงติดอยู่กับสิ่งภายนอก
สิ่งปรุงแต่ง เกิดการยึดติดอย่าง ผิดๆ คับแคบ และเป็นทุกข์
เป็นทุกข์อย่างเช่นที่เราเองก็ได้เคยมีประสบการณ์กับตัวเองมาแล้ว
ขอให้เราได้ใช้ความเป็นมนุษย์ของเราทั้งร่างกายและจิตใจไปในหนทางที่ถูกต้อง
ในหนทางที่เต็มไปด้วยเมตตา ในหนทางที่เป็นอิสระ
สุดท้ายแล้วอยากขอให้ตัวเองหายป่วยเร็วๆจัง เพี๊ยง ไม่รู้ทำไรนอนจนมึนไปหมดแล้ว ใครๆก็มาหาว่าเป็นหวัดนกอยู่ด้าย ระวังถ้าตายจะไปหลอกให้หมดทุกคนเลย555
แม้จะนอนเฉยๆอยู่บนเตียง และเพียงแค่ขยับตัวพลิกแขนขาซักนิดหน่อย
ไม่ได้ต้องการออกแรงกำลังอะไรมาก ยังรู้สึกว่าอวัยวะต่างๆช่างควบคุมยากเหลือเกิน
ดูเหมือนแขนก็ไม่ใช่แขนของเรา ขาของเราก็ไม่ฟังที่เราสั่ง หรือไม่ก็ทำตามอย่างเสียไม่ได้ซะจริงๆ
เวลาที่ไข้ขึ้นสูง หัวหมุนติ้วๆ จนตัวร้อนไปหมด แต่มือเท้าเย็นเฉียบและยังหนาวอยู่ทั้งที่เหงื่อออกนั้น
ทำให้รู้สึกว่าร่างกายที่เป็นบ้านของเรามาตลอดชีวิตช่างไม่น่าอยู่เอาซะเลย
แต่ดูเหมือนจะทำอะไรไม่ได้นอกจากทำใจอยู่กับมันอย่างนั้น
ร่างกายของเราก็เป็นของที่เราหยิบยืมมาจากบรรพบุรุษของเรา
ไม่ว่าจะแข็งแรง หรืออ่อนแอ ครบ หรือขาด งาม หรืออัปลักษณ์ ก็ไม่เที่ยงทั้งนั้น
ถึงเวลาหนึ่งก็ต้องคืนกลับไป
ร่างกายมาพร้อมกับ การรับรู้ ได้แก่ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส
ร่างกายมาพร้อมกับความเป็นมนุษย์อย่างเต็มขั้น
การรับรู้เหล่านี้สามารถทำให้เราเข้าใจเพื่อนมนุษย์ด้วยกันรวมถึงสิ่งมีชีวิตอื่น
ถ้าไร้ซึ่งการรับรู้ เราคงไม่ต่างจากวัตถุชิ้นหนึ่ง ที่ไม่รู้จักความสุข ความเจ็บปวดอย่างมนุษย์
แม้มนุษย์จะสามารถสงบนิ่งได้ แต่ก็ไม่ใช่เฉยชา นั่นคงเป็นความต่างของการเป็นมนุษย์และวัตถุ
ขณะเดียวกันการรับรู้ก็สามารถเป็นกับดักให้เราหลงติดอยู่กับสิ่งภายนอก
สิ่งปรุงแต่ง เกิดการยึดติดอย่าง ผิดๆ คับแคบ และเป็นทุกข์
เป็นทุกข์อย่างเช่นที่เราเองก็ได้เคยมีประสบการณ์กับตัวเองมาแล้ว
ขอให้เราได้ใช้ความเป็นมนุษย์ของเราทั้งร่างกายและจิตใจไปในหนทางที่ถูกต้อง
ในหนทางที่เต็มไปด้วยเมตตา ในหนทางที่เป็นอิสระ
สุดท้ายแล้วอยากขอให้ตัวเองหายป่วยเร็วๆจัง เพี๊ยง ไม่รู้ทำไรนอนจนมึนไปหมดแล้ว ใครๆก็มาหาว่าเป็นหวัดนกอยู่ด้าย ระวังถ้าตายจะไปหลอกให้หมดทุกคนเลย555
วันอาทิตย์, กุมภาพันธ์ 04, 2550
ว่าด้วยการจัดการกับความโกรธ
..ท่านติช นัท ฮันห์ กล่าวไว้ว่า "หากเราโกรธง่าย
ก็อาจเป็นเพราะเราเคยได้รดน้ำเมล็ดพันธุ์แห่งความโกรธไว้เป็นเวลานาน"
หลายทีที่ก็รู้สึกตัวว่าโกรธ และ หงุดหงิด กับเรื่องเล็กๆน้อย
ที่ตัวเองยังรู้สึกว่าไร้สาระสิ้นดี
แต่ก็ยังโมโห และอดที่จะบ่นและกล่าวตำหนิคนอื่นออกมา
สมองส่วนที่คิดด้วยความเป็นเหตุเป็นผลก็บอกว่าไม่ควรโมโห
แต่ส่วนที่เป็นอารมณ์ก็โลดแล่นไปตามพายุคลื่นลม
โดยที่รู้ตัว
บางครั้งก็กู้เรือนั้นไว้ได้ทัน
บางครั้งก็โง่เขลาจนต้องล่มลงในทะเลแห่งอารมณ์
ก่อให้เกิดโศกนาฏกรรมทางความรู้สึกทั้งของตัวเองและผู้อื่น
แล้วเราจะทำอย่างไรได้บ้าง
อย่างน้อยที่สุดก็ขอให้รู้เท่าทันอารมณ์ของตัวเอง
อย่างน้อยที่สุดก็ขอให้รู้ตัวเองเมื่อเรือของเราพ่ายแพ้ต่อพายุอารมณ์และจมดิ่งลงไปในมหาสมุทร
เพื่อที่จะหาทางว่ายขึ้นสู่ผิวน้ำเพื่อสูดเอาอากาศอีกครั้ง
อย่างน้อยหวังว่าเรายังมีโอกาสได้เริ่มต้นใหม่
และละเลิกการรดน้ำเมล็ดพันธุ์แห่งความโกรธ
ก็อาจเป็นเพราะเราเคยได้รดน้ำเมล็ดพันธุ์แห่งความโกรธไว้เป็นเวลานาน"
หลายทีที่ก็รู้สึกตัวว่าโกรธ และ หงุดหงิด กับเรื่องเล็กๆน้อย
ที่ตัวเองยังรู้สึกว่าไร้สาระสิ้นดี
แต่ก็ยังโมโห และอดที่จะบ่นและกล่าวตำหนิคนอื่นออกมา
สมองส่วนที่คิดด้วยความเป็นเหตุเป็นผลก็บอกว่าไม่ควรโมโห
แต่ส่วนที่เป็นอารมณ์ก็โลดแล่นไปตามพายุคลื่นลม
โดยที่รู้ตัว
บางครั้งก็กู้เรือนั้นไว้ได้ทัน
บางครั้งก็โง่เขลาจนต้องล่มลงในทะเลแห่งอารมณ์
ก่อให้เกิดโศกนาฏกรรมทางความรู้สึกทั้งของตัวเองและผู้อื่น
แล้วเราจะทำอย่างไรได้บ้าง
อย่างน้อยที่สุดก็ขอให้รู้เท่าทันอารมณ์ของตัวเอง
อย่างน้อยที่สุดก็ขอให้รู้ตัวเองเมื่อเรือของเราพ่ายแพ้ต่อพายุอารมณ์และจมดิ่งลงไปในมหาสมุทร
เพื่อที่จะหาทางว่ายขึ้นสู่ผิวน้ำเพื่อสูดเอาอากาศอีกครั้ง
อย่างน้อยหวังว่าเรายังมีโอกาสได้เริ่มต้นใหม่
และละเลิกการรดน้ำเมล็ดพันธุ์แห่งความโกรธ
วันพฤหัสบดี, กุมภาพันธ์ 01, 2550
".............."
I just got a message of regarding.
the words questioned me about an intention of the sender.
On the other hand, the words reflected my own message to others.
I never know that the reciever do comprehend it right.
Moreover, sometime I don't even know myself clearly when I say.
Sometime I became a victim of my own words.
Curious?
Why we talk?
Here's some words of wise men mention about word in the different point of it.
One of Paz poems ,
"To talk"
I read in a poem:
to talk is devine.
But gods don't speak:
while men do the talking:
Gods, without words,
play terrifying games.
To talk is human
One of Osho statements,
"I am not a man of words although
I have spoken more words than
anybody else in the whole world.
But I still say
I am not a man of words.
My words are just like nets thrown to catch fish.
And my message is wordless."
Thich nhat hanh teach us,
"Words can travel thousands of miles.
May our words create mutual understanding and love.
May they be as beautiful as gems,
As lovely as flower."
Even Buddha,
he use the words showing us a path to truth.
To me , there's so much mysteries about dimension of word.
There's a reason of talking also a reason of keeping silent.
Silence defines word and word defines silence.
Always we're lost in conversation.
But somehow that's the brillant part of it.
We never be sure we do get the right message,
and that's how the ending is opened.
Gaps make unending and unpredictable rythm.
And the music of life begins to play.
I look I walk and I talk ...I do human things.
I enjoy the being ,the losing ,the journey...the words.
though sometime it's worth sometime it's waste.
but worth defines waste and waste defines worth, so I take it as one.
Word can be a gift and word can be a blade.
Word can be mislead also word can keep the faith.
Word can be digged while silence's too complicated.
Maybe or Maybe not,
word can be nothing but only just a word.
And said to myself ..."don't think too much!"
:)
the words questioned me about an intention of the sender.
On the other hand, the words reflected my own message to others.
I never know that the reciever do comprehend it right.
Moreover, sometime I don't even know myself clearly when I say.
Sometime I became a victim of my own words.
Curious?
Why we talk?
Here's some words of wise men mention about word in the different point of it.
One of Paz poems ,
"To talk"
I read in a poem:
to talk is devine.
But gods don't speak:
while men do the talking:
Gods, without words,
play terrifying games.
To talk is human
One of Osho statements,
"I am not a man of words although
I have spoken more words than
anybody else in the whole world.
But I still say
I am not a man of words.
My words are just like nets thrown to catch fish.
And my message is wordless."
Thich nhat hanh teach us,
"Words can travel thousands of miles.
May our words create mutual understanding and love.
May they be as beautiful as gems,
As lovely as flower."
Even Buddha,
he use the words showing us a path to truth.
To me , there's so much mysteries about dimension of word.
There's a reason of talking also a reason of keeping silent.
Silence defines word and word defines silence.
Always we're lost in conversation.
But somehow that's the brillant part of it.
We never be sure we do get the right message,
and that's how the ending is opened.
Gaps make unending and unpredictable rythm.
And the music of life begins to play.
I look I walk and I talk ...I do human things.
I enjoy the being ,the losing ,the journey...the words.
though sometime it's worth sometime it's waste.
but worth defines waste and waste defines worth, so I take it as one.
Word can be a gift and word can be a blade.
Word can be mislead also word can keep the faith.
Word can be digged while silence's too complicated.
Maybe or Maybe not,
word can be nothing but only just a word.
And said to myself ..."don't think too much!"
:)
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)