วันอังคาร, มีนาคม 10, 2552

ปลดปล่อย "ทิเบต" 50 ปีแห่งการถูกจองจำ

วันนี้ไปฟังเสวนาเนื่องในโอกาสที่ธิเบตถูกจีนยึดครองมาครบ 50ปีแล้ว
ไม่สามารถเขียนเล่าเรื่องราวอะไรได้ เพราะปมปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นซับซ้อนและมีหลากหลายมิติ
แต่ก็มีประเด็นหนึ่งที่ รู้สึกติดใจทำให้ต้องกลับมาทบทวน
คือประเด็นที่ว่า ทำไมคนไทยจึงมักจะเิพิกเฉยต่อความเดือดร้อนของเพื่อนมนุษย์ เช่นสถานการณ์ของศาสนาพุทธในพม่า การรุกรานธิเบตของจีน เป็นต้น
สังเกตดูได้จากกลุ่มคนที่มาร่วมงานเสวนาก็เป็นกลุ่มคนเล็กๆจำกัดวงแคบๆ มีแต่เด็กแนว พี่แนว ลุงแนว
ลองคิดๆดู ก็ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะคนไทยเราโดยส่วนใหญ่ไม่ค่อยชอบคิดมาก คิดลึก คิดจริงจัง ไม่ชอบความซีเรียส ชอบอะไรชิลล์ๆไปวันๆมากกว่า ก็ถามเพื่อนว่าอะไรที่ทำให้เราเป็นเช่นนั้น เพื่อนให้ความเห็นว่า น่าจะมีพื้นฐานมาจากเรื่องการศึกษา การสอน ไม่ได้ปลูกฝังให้เราชอบคิด
ส่วนหนึ่งที่เราเห็นได้น้อยในสังคมไทยคือ"การออกมาแสดงจุดยืนของตัวเองเพื่อคนอื่นที่ไม่ใช่เพื่อนใช่ญาติใช่คนร่วมชาติ" คนไทยเราเห็นแก่ตัว...จริงหรือ
อีกส่วนหนึ่งคือ ข่าวสารที่มาถึงเราก็มีผลอย่างยิ่ง การนำเสนอข่าวสารความเป็นไปของโลกที่ไม่ใช่เรื่องเศรษฐกิจ และเป็นเชิงลึกนั้นหาได้น้อยแทบจะไม่มีให้เห็นให้อ่านกัน แต่มันก็เป็นสิ่งที่สะท้อนกันกลับไปกลับมาไม่ใช่หรือ คนเสนอข่าวก็ทำข่าวที่ผู้บริโภคอยากอ่าน ข่าวฆ่ากันตาย ข่าวดารา

สุดท้ายแล้วลำพังแค่ตัวเรา ความรู้งูๆปลาๆกะลาครอบอยู่อย่างนี้ ไม่มีปัญญาตอบคำถามเหล่านี้ของตัวเองได้ คงได้แต่กลับมาเริ่มที่ตัวเราเองก่อน หยุดมองแต่ตัวเองซักครู่ แล้วมองดูรอบๆตัวให้มากกว่านี้ ความละเลยของเราจะได้น้อยลงอีกหน่อย แล้วเริ่มมองคนอื่น มองสังคม มองโลก มองความเป็นจริง

2 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ไม่ต้องไปถึงความเพิกเฉยต่อทิเบต
อาจต้องตั้งคำถามกับทุกอย่าง

เช่น เรารู้สึกยังไงกับคนขอทาน เราไม่เห็นใจคนมาบตาพุดเหรอ หรือเราทำได้ยังไง สร้างเขื่อนจากลาวเพื่อมาปั่นไฟฟ้าให้เราใช้ ทำไมเราเฉยเมยเมื่อแรงงานพม่าที่ทำงานบ้านในคนกรุงเทพฯ ถูกกดขี่ค่าแรง

อื่นๆอีกมากมาย

เป็นความรุนแรงทางวัฒนธรรมอย่างหนึ่ง
อุอุ

goldfish กล่าวว่า...

วันนี้ตอนเที่ยงคืน ขับรถผ่านสี่แยกคลองเตยที่มักมีเด็กเล็กมาเช็ดกระจกแล้วขอสตางค์ ซึ่งเมื่อก่อนเราเจอเป็นประจำจนตอนหลังเลิกให้เงินไปแล้ว ไฟแดงถึงสองนาที เด็กหญิงคนหนึ่งน่าจะประมาณสี่ขวบนั่งอยู่โคนเสาสะพาน ตรงกับรถของเราพอดี ผิดคาดคือ เด็กหญิงคนนี้ไม่มีทีที่ว่าจะลุกขึ้นมาเช็ดรถเราหรือขอสตางค์ เราควานหาลูกอมรสนมในกระเป๋าเจอที่เหลือเม็ดสุดท้าย
ตอนแรกลังเลใจว่าจริงๆน่าจะให้สตางค์เค้าด้วย เค้าคงอยากได้สตางค์มากกว่า แต่ในเมื่อเค้าไม่ได้ขอเรา บางทีเค้าอาจจะรู้สึกดีกว่าที่มีผู้ใหญ่ซักคนให้ลูกอมมากกว่าให้สตางค์ เราก็เลยเปิดกระจกเอาลูกอมกับยิ้มให้น้องเค้าไป ไม่รู้ว่าเค้าจะผิดหวังที่มันไม่ใช่สตางค์หรือเปล่า เค้านั่งดูลูกอมอยู่นานก่อนจะแกเปลือกออกกิน ไฟเขียวแล้วเราเหยียบคันเร่งจากมา แต่ก็ยังตอบคำถามไม่ได้ว่า "เราทำอะไรได้บ้าง" ไม่ได้อยู่ดี คิดไว้ว่าต่อไปจะพกขนมไว้แจกเด็กๆแล้วกัน