วันจันทร์, ธันวาคม 25, 2549

คำไม่คม

"ผมไม่ซื้อเสื้อผ้าใส่มา 15 ปีแล้ว ผมยังมีใส่อยู่เลย"
3 ธันวาคม 2549
พี่โจน จันได
ฟังแล้วมานั่งนึกๆ เออ สงสัยจะจริง ถ้าไม่ซื้อเสื้อผ้าไปอีก 15 ปีเชื่อแน่ว่าคงยังมีพอใส่แน่ๆ ว่าม่ะ :)
You Are Me
You are me and I am you.
It is obvious that we are inter-are.
You cultivate the flower in yourself
so that I will be beautiful.
I transform the garbage in myself
so that you do not have to suffer.
I support you you support me.
I am here to bring you peace
you are here to bring me joy.
Thich Naht Hahn

Lesson today :To really see is To get rid of the thought of being individual. Quietly and slowly I started to see after all those time I only take a look . My dear friend please let my eyes truely opened.

MeRry cHrisTMas EverY bOdy :)

วันศุกร์, ธันวาคม 22, 2549

เรียนพิเศษ

ครูปู่แกนนำกลุ่มซ.โซ่ ด้านหลังคือน้องปอยสมาชิกกลุ่มเพราะรัก

บทเรียนกำลังเข้มข้น

โรงเรียนวันอาทิตย์ ไม่มีกำแพง ไม่มีหลังคา มีแต่ท้องฟ้ากับอากาศสดใส

สายๆของทุกวันอาทิตย์ เป็นวันที่โรงเรียนพิเศษแห่งนี้เปิดทำการ
จะเรียกว่าโรงเรียนเรียนพิเศษก็คงไม่ผิด เพราะโรงเรียนนี้ช่างพิเศษซะจริงๆ
ความพิเศษไม่ธรรมดานั้นเริ่มตั้งแต่ ห้องเรียนริมน้ำ ไม่มีกำแพงไม่มีกระดานดำ
นักเรียนก็มีตั้งแต่ ป.1ไปจนถึง ม.1คุณครูก็มีตั้งแต่อายุ 17 ไปจนถึง 71 ขวบ
วิชาที่เรียนก็มีไปตั้งแต่ เลข อังกฤษ ไทย ศิลปศึกษา
แต่ครูใหญ่ของโรงเรียนย้ำเสมอว่า วิชาหลัก ก็คือวิชาศีลธรรมและจริยธรรม
เด็กๆที่มาเรียนส่วนใหญ่คือเด็กที่อาศัยอยู่ในละแวกชุมชนคลองหลอด
เด็กบ้างคนผู้ปกครองก็ขายอาหารเป็นรถเข็นอยู่ละแวกนั้น
พ่อแม่เด็กๆส่วนใหญ่ส่งเด็กมาเรียน บ้างก็ช่วยดูแลรถของครูอาสาที่มาจอดให้ด้วย
โต๊ะและเก้าอี้ที่เรียนกัน พ่อของเด็กคนหนึ่งซึ่งขายก๋วยเตี๋ยวริมฟุตบาธ
ก็อนุญาตให้เรายืมใช้สถานที่กันได้ ด้วยเห็นความตั้งใจดีและประโยชน์ที่เด็กๆได้รับ
โดยทางกลุ่มซ.โซ่ ไม่เคยเรียกเก็บสตางค์ค่าใช้จ่ายใดๆ
ครูปู่ซึงเป็นแกนนำกลุ่มซ.โซ่เล่าว่าแกเป็นครูมาก่อนสอนหนังสือมาตลอด
เมื่อเกษียณจากราชการจึงยังคงสอนเด็กๆในละแวกบ้านซึ่งเป็นเด็กหลากหลาย
รูปแบบ เด็กๆส่วนใหญ่ยากจนและบางรายก็ขาดการดูแลที่ดีจากผู้ปกครอง
ส่วนด้ายเงินทุนทางกลุ่มก็ออกสตางค์กันเอง โดยไม่ได้มีการขอทุนจากองค์กรใดมาสนับสนุน
...
ด้วยความสงสัยใคร่รู้ว่าโรงเรียนของครูปู่นั้นเป็นอย่างไรกันแน่
สายๆของวันอาทิตย์วันหนึ่ง จึงได้แวะไปเป็นครูสมัครเล่นซักหน่อย
ถึงจะได้มีโอกาสไปเพียงไม่กี่ครั้ง แต่ทุกๆครั้งที่ไปโรงเรียน
แม้จะอาสามาเป็นคุณครู แต่ในขณะเดียวกันก็ได้เรียนรู้อะไรมากมายจาก
ห้องเรียนนี้ เราได้เรียนรู้ว่า จริงๆแล้วที่นี่ไม่มีครูและนักเรียน
แต่เราทุกคนมาเรียนรู้บางอย่างจากกันและกัน เราต่างก็เป็นนักเรียน
...
ในความคิดเห็นข้าพเจ้าคิดว่าเด็กกทม.อาจแบ่งอย่างหยาบๆออกได้เป็น 2 พวก
คือ เด็กขาด และ เด็กเกิน
เด็กที่ขาดก็มีหลากหลายรูปแบบและระดับของการขาด ขาดทรัพย์
ขาดการเอาใจใส่ ขาดความเข้าใจ ขาดผู้ดูแล ขาดความอบอุ่น ขาดความรัก
เด็กที่เกิน ก็เช่น กินมากเกิน สบายมากเกิน เล่นมากเกิน ถูกตามใจมากเกิน
ซึ่งตัวข้าพเจ้าจัดอยู่ในประเภทหลัง ข้อเสียของเด็กเกิน ก็คือ
การได้อะไรมาง่ายๆเสมอ ดังนั้นจึงไม่ค่อยเห็นคุณค่าของสิ่งที่ได้มาอย่างง่ายๆ
และไม่รู้จักความพอดี หากพวกเค้าถูกดูแลอย่างไข่ในหิน
และไม่เคยพบเจออีกด้านของสังคมที่ถูกพ่อแม่ป้องกันเอาไว้
เด็กๆเหล่านี้จะไม่เคยรู้ว่าตัวเองโชคดีแค่ไหนกับสิ่งที่ได้รับ
และไม่ตระหนักถึงพลังในตนเองที่สามารถแบ่งปันให้กับเพื่อนที่ขาดได้
ส่วนเด็กที่ขาด ซึ่งข้าพเจ้าก็เพิ่งจะเคยได้มีโอกาสเริ่มเข้าใจมากขึ้นก็วันนี้เอง
ในแต่ละครั้งที่ไปร่วมกิจกรรมก็ทำให้ได้รู้จักกับเด็กที่ขาดในหลายระดับ
เด็กที่ขาดทรัพย์แต่ก็ยังมีความอบอุ่น เด็กที่ขาดการดูและอย่างสมควร
แม้จะมีอายุเพียง4ขวบ แต่การพูดจาก้าวร้าว ด่าทอต่อยตีกันแรงๆ
สะท้อนให้เห็นถึงวิธีการเลี้ยงดูของผู้ปกครอง และตัวอย่างที่ทำให้เด็กทำตาม
ไปจนถึงเด็กที่ขาดซึ่งทุกๆอย่าง อย่างเช่น
เด็กวัยรุ่นคนหนึ่งที่เคยเป็นลูกศิษย์ครูปู่มาตั้งแต่เล็กๆ
แต่ตอนนี้เติบโตเป็นเด็กหนุ่มอายุ 18 แล้ว
ตอนที่เด็กหนุ่มคนนี้เดินเข้ามาและยกมือไหว้ครูปู่ มือข้างหนึ่งถือถุงพลาสติก
ใส่กางเกงยีนส์ตัวเดียว ทำให้เห็นถนัดว่า ตามตัวนั้นนอกเหนือไปจากรอยสัก
รูปต่างๆแล้ว เต็มไปด้วยรอยแผลเป็นจำนวนมาก
ซึ่งมีระยะเว้นและขนาดเท่าๆกัน ทำให้พอรู้ได้เลยว่าน่าจะเกิดจากการทำร้ายตัวเอง
เด็กหนุ่มพูดด้วยสีหน้าที่ไม่บ่งบอกอารมณ์ใด
ว่าเพิ่งกลับจากไปเยี่ยมเพื่อนซึ่งตีกันจนนอนอยู่ที่โรงพยาบาล
แรกเลยนั้นบอกตามตรงว่าก็รู้สึกว่าหากเจอคนเช่นนี้ตามถนน
ก็คงไม่อยากจะเข้าไปใกล้ หรือรู้สึกหวาดกลัว
เด็กหนุ่มจากไปหลังจากอยู่ให้ครูปู่ทักทายถามเกี่ยวกับเรื่องการงานและอบรมนิดหน่อย
...
ครูปู่เล่าให้ฟังว่า เด็กคนนี้มีกัน 4 คนพี่น้อง แต่ละคนมีพ่อไม่ซ้ำกันเลยเพราะ
แม่เปลี่ยนผัวไปเรื่อยๆ และไม่ดูแลลูกเลย ตอนนี้แม่ไม่รู้หายไปอยู่ที่ไหนแล้ว
ลูกๆก็ไปกันคนละทิศละทาง ติดยาบ้าง ฟันแทงกันบ้าง
ครูปู่บอกว่าเด็กพวกนี้มันไม่กลัวตำรวจหรอก มันดูรู้หมดว่าใครเป็นตำรวจ
แต่มันกลัวครูปู่ เราก็พยายามสอนได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้
แค่สอนอาทิตย์ละหนึ่งวันมันน้อยเกินไป เค้าต้องอยู่กับครอบครัวอีก6วันที่เหลือ
ครูปู่ก็บอกว่ายังไงๆซะถ้าไม่มีตังค์กินข้าวก็ให้มาบอกครูปู่
...
ถึงกับอึ้งไปในเรื่องราวที่เพิ่งฟังจบ
...
หนังสือพิมพ์บ้านเรามักชอบลงข่าวการตีกันแทงกัน ทำร้ายร่างกาย ฆ่ากันตาย
ผู้คนส่วนมากก็อ่านแล้ว ก็พูดกันเพียงว่า ต๊ายทำไมพวกนี้มันเลวอย่างนี้เลวอย่างนั้น
แล้วได้อะไรนอกจากความสะใจในการอ่านบ้างหรือไม่
แล้วมีใครซักกี่คนเคยได้เข้าใจถึงเหตุปัจจัยที่แท้ของเรื่องราวทั้งหมด
หากเราลองนึกภาพว่าเราเติบโตมาในสภาพอย่างเด็กคนนั้น
เค้าไม่เคยได้รับความรักจากพ่อแม่ ไม่มีการดูแลเอาใจใส่ ไม่เคยได้ความอบอุ่น
ไม่เคยพบความสว่าง หากต้องเติบโตมาในความมืดมิดอย่างนั้น
เค้าจะรู้จักความสว่างได้อย่างไร สิ่งที่เค้าทำลงไป เรียกได้ว่าเป็นความเลวอย่างบริสุทธิ์
และถึงแม้คนที่เลวที่สุดเค้าก็ยังต้องการความรักคาวเข้าใจไม่ต่างไปจากคนทั่วไป
...
โรงเรียนแห่งนี้สอนให้เราได้เข้าใจเด็กๆที่ขาดเหล่านี้มากขึ้น
ซึ่งทำให้ยิ่งเห็นถึงความสำคัญของการช่วยกันเติมเต็มความรักความเข้าใจ
ให้พวกเค้าเท่าที่พวกเราสามารถจะทำได้ด้วยความเต็มใจอย่างยิ่ง
และยังทำให้เราสำนึกในความโชคดีของตัวเอง
เมื่อเรามีมากเกินแล้วเหตุใดเราจึงจะไม่แบ่งปันให้กับคนที่ขาดเล่า
...
โรงเรียนของกลุ่มซ.โซ่ ซึ่งมีครูปู่และครูจิ๊บเป็นแกนนำ ร่วมกับน้องๆกลุ่มเพราะรัก
มีกิจกรรมปรกติก็คือ ทุกๆเช้าวันอาทิตย์ 9.00น.-11.00น.
จะทำการสอนที่บริเวณริมคลองหลอดหลังโรงแรมรัตนโกสินทร์
ย่านอนุเสาวรีย์ประชาธิปไตย และช่วงบ่ายจะย้ายไปทำการสอนให้กับเด็กๆ
ที่บ้านภูมิเวท ซึ่งเป็นสถานแรกรับเด็กเร่ร่อนชาย
ต้นปีหน้า มีโครงการที่จะขยายการสอนในวันเสาร์ด้วยซึ่งจะไปสอนโรงเรียนเด็กตาบอด ทางกลุ่มเปิดรับอาสาสมัครที่สนใจสามารถเข้ามาร่วมกิจกรรมกับทางกลุ่มได้เสมอ
...
การจุดไฟแม้จะเป็นไฟดวงน้อยๆแสงริบหรี่เพียงใดก็ตาม มีค่ายิ่งใหญ่เสมอสำหรับสถานที่อันมืดมิด

วันอังคาร, ธันวาคม 19, 2549

a poem of my day


You smiled and talked to me of nothing
and I felt that for this I had been waiting long.


Stray Birds

Rabindranath Tagore

วันอาทิตย์, ธันวาคม 17, 2549

.



ก็เพียงม่านบังตา

"เรื่องเล่าหนึ่งในอิสลาม กล่าวถึงชายผู้หนึ่ง ซึ่งถามเพื่อน ๓ คน ว่าหากเขาตาย เพื่อนจะช่วยอะไรเขาได้บ้าง คนแรกตอบว่าจะเตรียมโลงและผ้าห่อศพให้ คนที่สองตอบว่าจะช่วยแบกโลงไปที่หลุมฝังศพ ส่วนคนที่สามตอบว่าจะลงไปอยู่เป็นเพื่อนในหลุมฝังศพและช่วยตอบคำถามต่อเทวทูต เพื่อนทั้งสามคนเป็นดังอุปมาของสิ่งที่ติดตามตัวเราไปได้เมื่อตายแล้ว เพื่อนคนแรกคือทรัพย์สินเกียรติยศ เพื่อนคนที่สองคือครอบครัวญาติพี่น้อง ส่วนเพื่อนคนสุดท้ายก็คือ อาม้าล หรือกรรมดีกรรมชั่วนั่นเอง ความตายในอิสลามก็มิใช่ความตายเชิงปัจเจก หากยังมีความอยุติธรรมในสังคม มีความบีบคั้นเบียดเบียน ชาวมุสลิมย่อมไม่อาจดูดายได้เช่นกัน ดังถ้อยคำในพระคัมภีร์ที่ว่า “จะเข้านอนได้อย่างไร หากเพื่อนบ้านยังหิวอยู่” "

อ่านบทความทั้งหมดที่ http://jitwiwat.blogspot.com/2006/09/blog-post_24.html

เมื่อก่อนเราเป็นคนที่ไม่เคยได้มีความรู้เรื่องหลักคำสอนของชาวมุสลิมเลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาที่ได้มีโอกาสลงไปสงขลาและพบกับน้องๆกลุ่มเยาวชนใจอาสาซึ่งทำงานลงพื้นที่ลงไปให้ความช่วยเหลือทางจิตใจกับชาวบ้านที่ได้รับความบาดเจ็บ หรือแม้กระทั่งคนในครอบครัวเสียชีวิต โดยไม่ได้ทำอะไรผิดอย่างที่โดนกล่าวหา นับเป็นครั้งแรกที่ได้มีเพื่อนๆเป็นชาวมุสลิม และได้เห็นว่าเราก็เหมือนกันนั่นเอง หลังจากนั้นจึงได้เริ่มมีโอกาสอ่านบทความหรือคำสอนในอัลกุรอานบ้างถึงจะไม่มากนัก แต่ก็ทำให้รู้สึกว่าชาวมุสลิมมีหลักคำสอนที่น่ายกย่องเป็นอย่างมากและเป็นหลักคำสอนเพื่อความสงบสุขของสังคมไม่ต่างไปจากคำสอนของพุทธศาสนา
ในความเห็นส่วนตัวแล้วอยากให้ทุกคนไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด หรือแม้แต่คนที่ไม่ระบุตัวเองว่านับถือศาสนาใดอย่างเช่นตัวเราก็ตามเปิดใจเพื่อที่จะศึกษาวิถีความคิดของคนในศาสนาอื่นๆบ้าง น่าจะทำให้เรามีอัตตาเล็กลงรวมถึงเข้าใจกันและกันมากขึ้น ซึ่งความเข้าใจซึ่งกันและกันนั้นน่าจะเป็นบ่อเกิดแห่งสันติภาพอย่างแท้จริง

หากใครอยากติดตามข่าวสารความเป็นไปของภาคใต้ขอแนะนำ เว็บไซด์ศูนย์ข่าวอิศรา อีกที่ที่อาจจะได้รับรู้เรือ่งราวอย่างที่เป็นไป
http://www.tjanews.org/cms/
ปล.น้องๆชาวเยาวชนใจอาสาสู้ต่อไปน่ะจ๊ะ คงจะได้เจอกันอีกแน่เร็วๆนี้

วันพฤหัสบดี, ธันวาคม 14, 2549

ได้รับแล้วน่ะ

ทุ่งแสลงหลวง
by nattapong
10-12-2006

ซึ้งใจมากๆ กับโปสการ์ดภาพสีน้ำที่เพื่อนตั้งใจวาดเองส่งมาให้
ทั้งที่ไม่เคยเอ่ยขอ แต่เพื่อนยังอุตส่าห์ใส่ใจกับสิ่งที่เราชอบ
แล้วก็ตั้งใจจริงๆ ภาพนี้สวยและมีชีวิตมากจริงๆ
ยังรู้อีกว่าเพื่อนเคยพยายามส่งมาหลายทีแต่ส่งมาไม่ถึง
น้ำใจและความรู้สึกดีๆอันนี้จะไม่ลืมเลือนเลย
ขอบคุณกับความรักความห่วงใยและหวังดีที่มีให้เสมอ
ขอโทษถ้าเคยได้ทำให้เพื่อนเสียใจอะไรไป
ภาพสวยอย่างงี้ขอให้คนวาดมีความสุขมากๆจ๊ะ

วันเสาร์, ธันวาคม 09, 2549

Beginning Anew

มองเห็นชั้นมั้ย มุมซ้ายๆ ฮิ ฮิ
3 ธันวาคม 2549

เป็นค่ายแรกที่ไปแล้วตั้งแต่วันไปจนวันกลับแทบไม่ได้เปิดปลอกปากกาออกเพื่อขีดเขียนอะไรซักอย่าง แล้วก็ไม่ได้ถ่ายรูปซักใบ
ส่วนหนึ่งก็เพราะมีอะไรทำตลอดเวลา หรือไม่จริงๆแล้วก็เพราะรู้สึกว่าแค่ ณ ขณะปัจจุบันตรงนั้นก็พอแล้ว :)
โดยส่วนลึกแล้วกิจกรรมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการภาวนา นั่งสมาธิ เดินจงกรม ฟังธรรมะบรรยาย แลกเปลี่ยน ลงพื้นที่ย่ำดิน ทำอิฐ หรือแม้กระทั้งล้างจาน
ทำให้รับรู้ถึงความใสและขุ่น วุ่นและว่าง ค้างและคลาย วนเวียนสลับกันไปมา หรือบางทีแทบจะเป็นหนึ่งเดียวกัน
ฉันรู้ว่าฉันเข้าใจ แต่ยังไม่ยอมรับมัน หรือเปล่าน่ะ?
ไม่ใช่ใครที่ทำให้ฉันผิดหวัง หรือเสียใจ
แต่เป็นความคิดหรือภาพที่ฉันสร้างขึ้นมาเองที่ทำร้ายใจ
ฉันอยากที่จะเข้าไปอยู่ในเนื้อหนังมังสาของเธอ
เพื่อที่จะเข้าใจเธอ และยอมรับเธออย่างที่เธอเป็น
ฉันอยากจะขอบคุณเธอ และขอโทษเธอในเวลาเดียวกัน
ฉันอยากจะปล่อยเธอไป เพื่อที่เราจะมีกันและกันตลอดไป
ยิ้มและความปราถนาดีของชั้นมีไว้เพื่อให้เธอเสมอ
คิด ว่า รัก

วันพุธ, พฤศจิกายน 29, 2549

no two dishes are the same

วันนี้ขอเขียนถึงอะไรชิวๆขอมีมุมกุ๊กกิ๊กขำๆหน่อย
"เค้าว่ากันว่าความรักเหมือนอาหาร"(เค้านี่เราเองแหละ55)
อาหารนั้นก็มีหลากหลายรูปแบบแตกต่างกันตั้งแต่กระบวนการสร้างสรรค์
อาหารไทยต้องใช้ไฟแรงๆผัดเร็วๆเหมือนรักเปิดปุ๊บติดปั๊บ
อาหารจีนอาจต้องตุ๋น ไฟอ่อนๆเขี้ยวแล้วเขี้ยวอีกเป็นวันๆ เป็นรักแบบฝักบ่มกันไป
อาหารญี่ปุ่นกินมันดิบๆสดๆซะหยั่งงั้น ดั่งรักรสใสๆไม่ปรุงแต่ง
อาหารฝรั่งเศสต้องมีลีลา เฉกเช่นรักของนักรักโรแมนติก
หลากหลายวิธีก็ให้ความอร่อยแตกต่างกันไป...ไม่มีสูตรสำเร็จ
อย่าไปติดกับรสชาติใดรสชาติหนึ่งเลย
อย่าไปคิดว่าความรักที่ดีหรืออาหารที่อร่อย
มันควรจะเป็นอย่างนี้อย่างนั้นแบบเดียวกันไปหมด

จริงไหม?

.

...
ไม่เป็นไรเพื่อน
ไม่เป็นไร
...
ใครทำเธอช้ำมา
อวยพรเขากลับไป
...
ใครทำเธอเสียใจ
ยิ้มให้เขาเถิดหนา
...
เพียงสิ่งที่ผ่านมา
ถึงเวลาก็ผ่านไป
...
แค่วางมันเอาไว้
ยื่นมือให้ฉันเพื่อนเธอ

วันเสาร์, พฤศจิกายน 25, 2549

I am yours.

I am not your dream, neither your imagination.
I am not a vision.
I am real.
...
I am the air you are breathing.
I am a soul of your soul.
I am a thought of your thought.
I am a meaning of your unspoken.
I am your smile and your tear.
your fear and your hope,
your darkness and your lighthouse,
your slave and your master,
your residence and your mysterious forest,
your sleep and your awake,
your breath and your death.
...
I am not your dream, neither your imagination.
I am not a vision.
I am real.

ps. I'd like to recommend my new friend's site
;Shomil vividiti : dont philosphise.. live!
www.lomohomes.com/vividiti

วันอาทิตย์, พฤศจิกายน 19, 2549

.

I love a mountain, secluded but strong.
I love a river, crazy but clear.
I love a sky, weightless but wide.
I love a pebble, small but solid.
I love a little flower, petty but pretty.
Once and for all,
I love thee , head and tail.

World-Run-Circle

I look up to my sky.
Now it's blank and bright.
Wind blown all clouds.
Sun dried all rain.
" "
World-Run-Circle,
staying is changing
changing is being
being is nothing
" "
World-Run-Circle,
No more rain
It's time for winter.
but then I can't hold it,
leaving to summer.
" "
Round Round Round
" "
there's no end nor begining.
there's no seperate line,
or maybe I now far beyond.
or maybe I now on journey,
backward to an origin.
but there's no begining nor ending.
so i travel nowhere.
Well, is it mean I'm staying?
but staying is changing
changing is being
being is nothing
" "
World-Run-Circle,
" "
Round Round Round
Round Round Round
Round Round Round
" "
but staying is changing
changing is being
being is nothing
" "
Round Round Round

""""""""""""""
"World-Run-Circle"
: written 01 am. /09 November 2006
song for "THE LAZYHUS-BAND" Copyright

วันพฤหัสบดี, พฤศจิกายน 16, 2549

.

ยังดีที่ไม่ได้ทำให้ใครพิการ
ยังดีที่ไม่ได้พรากพ่อใครสามีใคร
ยังคิดไม่ออกเลยว่าถ้าเป็นอย่างนั้นจะทำไงจะทำไง
แค่นี้ก็จะรับไม่ไหวอยู่แล้ว
ฮือ ฮือ

วันอังคาร, พฤศจิกายน 14, 2549

a story among many

Dust
on the dining table...
my finger writes
what I dare not
tell you.

PS. ขโมยอ่านที่ร้านหนังสือเลยจำไม่ได้ว่าใครเขียน เป็นกวีชาวอินเดียคนหนึ่ง

.

ข้าพเจ้ายังไม่คิดที่จะริอ่านเป็นนักวิจารณ์หนังสือแต่อย่างใด
เพียงต้องการจะแลกเปลี่ยน และบอกต่อถึงหนังสือที่ข้าพเจ้ามีความประทับใจ
และมีอิทธิพลต่อความนึกคิดของข้าพเจ้า ซึ่งส่งผลต่อการกระทำอีกทอดหนึ่ง
เนื่องด้วยข้าพเจ้าในวัยเด็กเป็นเด็กที่เอาแต่วิ่งเล่นจับแมลง
กบเขียด เด็ดดอกไม้ ต้นไม้
จึงโตมาเป็นคนที่อ่านหนังสือช้า และอ่านหนังสือมาเพียงไม่กี่เล่ม
ในจำนวนหนังสือที่ได้อ่าน มีหลายเล่มทีเดียวที่มีอิทธิพลต่อความคิดในด้านที่แตกต่างกันไป
หนังสือบางเล่มข้าพเจ้าอ่านแล้วถึงกับนอนไม่หลับ
บางเล่มทำให้รู้สึกเสมือนว่าตัวเองเป็นนักเดินทางที่เพิ่งเริ่มต้นที่ตีนเขา
บางเล่มอ่านแล้วรู้สึกเสมือนตัวเองบินล่องไปตามลมได้อย่างนก
...
"The Man Who Planted Trees" a story by Jean Giono
วรรณกรรมเล่มบางๆเล่มหนึ่งที่ใช้เวลาอ่านไม่เกิน 20 นาที
แต่เรื่องราวนั้นกลับวนเวียนอยู่ในความคิดได้เป็นวันๆ
เป็นหนังสืออีกเล่มที่ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกว่าได้สัมผัสถึงพลังในทางสร้างสรรค์
และความตั้งใจที่จะเขียนเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับใครก็ตามที่ได้อ่าน
โดยที่ผู้เขียนกับผู้อ่านไม่จำเป็นต้องรู้จักกันเลยด้วยซ้ำ
...
แน่นอนว่าทุกอย่างย่อมมีสองด้านเสมอ
ยิ่งข้าพเจ้าอ่านพบหนังสือที่มีอิทธิพลต่อความนึกคิดของข้าพเจ้ามากเท่าไร
ยิ่งทำให้ข้าพเจ้าตระหนักถึงอำนาจของตัวหนังสือมากเท่านั้น
เมื่อเราเริ่มเขียน และเมื่อเริ่มมีคนอ่าน แม้แต่เพียงคนเดียว
เป็นอันว่าเราควรมีความรับผิดชอบต่อสิ่งที่เราเขียน ต่อคนที่อ่าน
หากเราใช้ปากกาอย่างสร้างสรรค์ เขียนด้วยความจริงใจ
เขียนด้วยจุดมุ่งหมายที่ดี
ไม่สำคัญว่าเราจะรับรู้หรือไม่ว่าคนที่อ่านได้อะไรไป
คงเพียงพอแล้วหากงานเขียนนั้นสามารถสร้างแรงบันดาลใจในทางบวกต่อใครซักคน และต้องไม่ลืมว่างานเขียนนั้นอาจมีอายุยืนยาวกว่าเรา
เช่นเดียวกับนักปั้นที่รู้ดีว่าจานชามของเค้านั้นจะอยู่ไปอีกเป็นพันๆปีหลังจากเค้าตายไป
...
"The Man Who Planted Trees" ทำให้ข้าพเจ้าคิดที่จะตั้งใจเขียนอย่างสร้างสรรค์
เพื่อที่จะเป็นกระบอกเสียงเล็ก บอกเล่าเรื่องราวดีๆ ผู้คนดีๆที่ข้าพเจ้าได้ผ่านพบในการเดินทาง
แม้ว่าฝีมือการเขียนของข้าพเจ้าจะเป็นระดับมือสมัครเล่น
แต่ยังมีความเชื่อมั่นว่า หลากหลายเรื่องราวดีๆเกี่ยวกับเพื่อน และคนดีๆ ที่ข้าพเจ้าอยากนำเสนอ
จะสามารถทำให้คนอ่านได้แรงบันดาลใจจากเนื้อหาสาระของมันเอง
ถ่ายทอดผ่านปากกาของข้าพเจ้า (ต้องพูดว่าคีย์บอร์ดสิน่ะ)
ค่อนข้างสับสนเอาการสำหรับข้าพเจ้าผู้ซึ่งมักจะปฏิเสธที่จะนิยาม "คำ" ใดๆ
แต่ขณะเดียวกันก็ต้องอาศัย "คำ" เป็นสื่อบอกเล่าความคิดตนเอง
และยังคงยืนยันกับตัวเอง ว่าสิ่งที่ตนเองต้องการที่สุดคือการลอยล่องอยู่เหนือความยึดติดกับคำจำกัดความใด ของใคร หรือสังคมไหน
มีเพียงสิ่งที่ใจของข้าพเจ้าร้องบอกเท่าทั้นที่จะเป็นเหมือนลมพัดพาข้าพเจ้าให้เดินทางไปในที่ๆใจปราถนา

...
หมายเหตุ : เขียนมาซะยืดยาว เอาเป็นว่าโปรดติดตามและเป็นกำลังใจให้นักอยากเขียน ขณะที่ข้าพเจ้าเรียบเรียงเรื่องราวที่จะมานำเสนอให้ดีซะก่อน บางเรื่องของบางคนอาจจะต้องใช้เวลาศึกษาให้มากก่อนเลยทีเดียว

หายไป?

คงจะประมาณ 4 ทุ่มเศษ
แต่วันนี้ก็ดูบรรยากาศคึกคักมาก คงเพราะเป็นวันลอยกระทง
แต่ข้าพเจ้าผู้ไม่เคยพิศมัยเทศกาลนี้เลย
จำได้ว่าไปถึงริมน้ำทุกครั้ง ก็รู้สึกได้อย่างเดียวว่า
มันมีกระทงเยอะเกินไปแล้ว จะใส่ลงไปทำไมอีก?
ปีนี้ไม่แม้แต่จะไปริมน้ำ
แยกย้ายกันที่ร้านสัมตำไก่ย่าง ก็มารอเรียกรถกลับบ้าน
ณ ตรงที่ๆ เคยมี เสาชิงช้า บัดนี้ไม่มีซะแล้ว..แม้แต่เงา
คันแล้วคันเล่าไม่มีรถแทกซี่ยอมไปไกลถึงบ้านเราซักคัน
แต่มีรถเก๋งคันหนึ่งขับพุ่งมาปาดข้างหน้าอย่างเร็วแล้วก็จอด
ผู้ชายคนหนึ่งเปิดออกมาจากด้านข้างคนขับ
ผู้หญิงอีกคนถลาลงมาจากอีกด้าน
ผู้ชายเดินอย่างเร็วมาโบกเรียกรถ
ผู้หญิงวิ่งถลาตามมาพร้อมกับเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้น
เข้าคว้าแขนผู้ชายคนนั้นเอาไว้
เค้าพยายามสะบัดแขนเธอออก
แล้วก้าวขึ้นไปบนรถตุ๊กๆ
เธอก้าวตามไป
เค้าบอกให้คนขับออกรถ
ทั้งๆที่เธออยู่นอกรถเกือบครึ่งตัว
ขาเธอแกว่งๆไปมา ลอยจากพื้น
เหมือนว่าเธอมีสองขา ... แต่กลับยืนไม่ไหว
เสียงร้องไห้เหมือนแทบขาดใจ
ในที่สุดรถตุ๊กๆเลยไม่ยอมไป
เค้าจำต้องลงมา เธอยุดยื้อเค้าไว้ ทั้งด้วยสองแขนและน้ำตา
แต่ดูเหมือนจะไร้ผล
เค้าดูไม่แคร์
............
ข้าพเจ้าไม่รู้หรอกว่าเค้าทะเลาะอะไรกัน
ข้าพเจ้าไม่รู้หรอกว่าใครทำร้ายใคร ผิดถูกยังไง
ข้าพเจ้าคิดว่ามันคงไม่ใช่ประเด็น
อยากจะเดินเข้าไปบอกว่า
ปล่อยเค้าไปเห๊อะ
....
แต่ตอนนี้เธอคนนั้นคงไม่สามารถรับฟังอะไรได้
ข้าพเจ้าจากมาจากการเป็นบุคคลที่ 3 ในเหตุการณ์ในที่สุด
....
เสาชิงช้าเคยมีอยู่ ใครจะคิดว่าวันนึงมันยังหายไป?
แต่ลองคิดดีๆสิ ก่อนหน้าที่คนจะสร้างมันขึ้นมา
มันมีอยู่ซะที่ไหนเล่า จริงไหม?

วันพฤหัสบดี, พฤศจิกายน 09, 2549

ยำๆครับ ภาพไม่สวย ขออภัยด้วย

ทุกคนคิดละซิว่า จะตื้บดิน หรือตื้บเด็กดี..ล้อเล่นๆ
โจ้ครับๆ เฟคน้อยๆหน่อยครับ...ล้อเล่นๆ

ผนังบ้านลุงทุมถูกใจมาก นึกถึงเพลงของพี่jack ที่ร้องว่า "And there were so many fewer questions. When stars were still just the holes to heaven"

ลุงสุ่นโชว์การเผาถ่านเพื่อให้ได้ น้ำส้มควันไฟ ปุ๋ยชีวภาพที่พัฒนาเทคนิคกันขึ้นมา จนไม่ต้องพึ่งปุ๋ยและสารเคมีกันอีกต่อไป


คนแรกนี่โจรสลัด คนที่สองถูกตั้งข้อสงสัยว่าจะเป็นชาวประมงจริงๆละมั้ง คนที่สามนักท่องเที่ยว เฟคถ่ายรูปอีกแล้ว..ล้อเล่นๆ


ขอนับถือคนคิด การนวดผ่อนคลายระบบลูกโซ่หลังจากจบภารกิจ เฮ้อ.. ชิวจริงๆ





ศิลปินเบอร์หนึ่งกะลังวาดภาพที่ระลึกให้กลุ่มเขาชะเมาเก็บไว้เป็นหลักฐาน เอ้ย! ที่ระลึกตะหาก



ถึงปาล์ม...เราไม่ได้ตั้งใจถ่ายให้ออกมา "ดำ" แต่มันย้อนแสงอ่ะ55555...ล้อเล่นๆ


โจ้ พี่นุ้งนิ้ง ข่อยเอง น้องกิ่ง(รึเปล่า อภัยให้ด้วยความจำข้าพเจ้าเท่าปลาทอง) ตุ๊กติ๊ก มะตูม เด็กธรรมสาด...แล้วไง



เหมือนทุกๆการเดินทาง สุดท้ายก็ กลับบ้านครับกลับบ้าน

วันพุธ, พฤศจิกายน 08, 2549

ห้องสมุดดิน ฉบับ รักษ์เขาชะเมา

เหนื่อยแต่มันส์หยด งานนี้มันถูกกะจริตจริงๆ ใช้แต่แรง ทีน ทีน ทีน

แก๊งค์ทำบล็อค


เอ้า! โคดสะนาให้เค้าหน่อย
ชาวจิตอาสา

ถ่ายรูป...หมู

โจ้ จักร พี่แก้ว น้องบอยแห่งกลุ่มรักษ์เขาชะเมา
ปล. โจ้กะจักรไม่ได้เป็นอะไรกันแม้แต่น้อย พูดงี้เสียหายหมดเดี๋ยวขายไม่ออกทำไงฮ่ะ
.......

กาพย์บ้านดิน ฉบับมั่วๆ
...
ย่ำ ย่ำ ย่ำ
บ่อเล็กๆ
ขุดลึกๆ
ไส้เดือนน้อย
ดิ้นดึ๊กๆ
จำต้องลา
เพื่อเด็กน้อย
ได้ศึกษา
หาความรู้
...
โกย โกย โกย
ช่วยกันขน
อัดดินจน
เป็นก้อนอิฐ
ตากเรียงไว้
รออีกนิด
เจ้าก้อนอิฐ
เราร่วมก่อ
เริ่มเป็นบ้าน
ดินหลังจ้อย
ห้องสมุดน้อย
คอยเราอยู่
(น่ะจ๊ะ)



ปล. ไปค่ายเที่ยวนี้ มีทั้งขำ ฮา มันส์ สาระ ข้อคิด เกร็ดความรู้ เพื่อนใหม่ รุ่นใหญ่ รุ่นเด็ก ไว้จะทยอยเล่าให้เพื่อนๆฟังในโอกาสถัดไปแน่นอน วันนี้ข้าพเจ้าหมดแรงแหล่วขอลาไปก่อนเน้อพี่น้อง


ขอบคุณ

4 พฤศจิกายน 2549

การที่ได้มาทำกิจกรรมที่เราไม่ได้คาดหวังผลประโยชน์ใดๆในเชิงวัตถุ
หรือไม่ใช่สิ่งที่เราทำแล้วได้ผลตอบแทนเป็นเงินในบัญชีทุกๆวันที่ 31
หรือเป็นสิ่งที่เราเคยชินกับมันซะจนเราเข้าใจว่าเรารู้จักในสิ่งที่เราทำดีแล้ว
อย่างเช่นการไปค่ายสั้นๆที่กลุ่มรักษ์เขาชะเมาครั้งนี้
เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เตือนสติให้รู้ว่า
"เจ้ากำลังเป็นกบในน้ำที่ตั้งไฟอ่อนๆ และจะถูกน้ำร้อนลวกตายไปอย่างไม่รู้สึกตัว"
นับจากครั้งก่อนคือเมื่อกว่า 7 ปีที่แล้วที่ได้มีโอกาสไปสวนโมกข์ฯ
....
เมื่อเราละเลยที่จะละเอียดอ่อนในการสำรวจให้ทั่วถ้วนไปทุกซอกมุมของจิตใจตนเอง
ก็เป็นการยากที่เราจะขจัดสิ่งสกปรกเล็กน้อยที่เข้าไปติดค้างอยู่ในซอกหลีบเล็กๆ
โดยที่ไม่รู้ตัวจิตใจของเราเริ่มถูกเกาะกุมไปด้วยความสกปรกที่เราไม่รับรู้ถึงการมีอยู่ของมัน
ใจของเรากระด้างขึ้นอย่างช้าๆ ช้าๆ

....
ช่วงเวลาสั้นๆของการไปค่ายครั้งนี้ ทำให้บางอย่างข้างในตนเองมีโอกาสได้ส่งเสียงเตือน
เตือน...ให้เราตระหนักรู้ถึงการมีอยู่ของความไม่สะอาดภายในจิตใจ
เตือน...ให้เราตระหนักรู้ว่าต้องชำระล้างมันออกไป
เพราะยังอยากจะมีจิตใจที่ใสเพื่อตื่นรู้และเข้าใจ
เพราะยังอยากจะมีใจที่อ่อนนุ่มมิถูกเกาะกุมไปด้วยความกระด้างอย่างนี้
ขอบคุณ

วันพฤหัสบดี, พฤศจิกายน 02, 2549

Happy birthday to my best friend!

วันเกิดนิ่มเพื่อนเลิฟ สนุกมาก
ปาร์ตี้ๆ
มีพายของบ๊อบ
เนมีเค้กเซอร์ไพรส์นิ่ม
ช่างเป็นน้องชายที่น่าร๊ากจริงๆ
ส่วนนิ่มก็บ่นออดๆว่าทำไมได้แต่หนังงสือเป็นของขวัญน่ะ
ไม่ได้โม้ แต่พูดจริงว่าจักรปาณี ทำอาหารให้ทุกคนกินด้วย !!!
เป็นครั้งแรก อร่อยเว่อร์ๆ
ขนาดหุงข้าวก็ยังไม่เป็นน่ะเนี่ย
กินกันหมดด้วยน่ะ
แม้จะออกแนวบังคับให้กินกัน555
happy birthday เพื่อนเลิฟ

ps. พรุ่งนี้จะได้ไปสร้างกุฏิดินซะที ตื่นเต้นๆ

On the edge of the night

My room and this vastness,
awake over parroting land, - are one.
I am a string, strung over rustling wide resonances.
The things are violin bodies, full of grumbling dark;
inside the wifes' weeping is dreaming,
inside the rancour of whole dynasties is stirring in the sleep…
I shall shake silverly:
then everything underneath me will live,
and what errs in the things,
will strive after the light,
which falls from my dancing tone,
around which heaven waves, through narrow,
yearning cracks, into the old chasms without end…
R.M. Rilke, January 12th 1900,
Berlin-Schmargendorf
English translation by Philipp Kellmeyer

ps.ขอยืมquoteของกวีท่านนี้มาใช้เป็นคำโดนใจตัวเองเป็นเวลาหลายปีแล้ว แล้วยังขโมยเอามาใช้เป็นชื่อบล็อคอีกด้วย วันนี้เลยขอเอาผลงานของเค้ามาเก็บไว้ซะหน่อย เสียดายที่ไม่รู้ภาษาเยอรมันเลยไม่เคยได้อ่าน original version กับเค้าซักที


The night in Delhi

" Do you know I did commit suicide once?" not taking her eyes of Veronica decided to die .
"....................." I answered with silence cause I think she didn't need answer anyway.
"When I was 17... I was so young."
To me now she is sister , colleague and boss also.
Instead of asking how? or why? I asked her about what was happen after that.
simple and short with her very neutral tone of answering, like it matter no more...
"Life must goes on"
I feel like I catch the glimpse of the whole story.
And I believe she do know the true meaning of that simple word.
.......
It was very short conversation.
But it did answer to my question also...
before she left me into Paulo Coelho's world.
Yes, she's right.
.......
"Life must goes on" I said to myself in silence.
before I left her into Lao-tzu's world.

วันพุธ, พฤศจิกายน 01, 2549

The power of make up

เช้าวันหนึ่งที่ตื่นขึ้นมาพบรอยบวมและช้ำรอบๆดวงตา(ที่ปรกติก็บวมอยู่แล้ว)
อันเกิดจากเหตุแห่งความอ่อนไหวอ่อนแอ ซ้ำๆซากๆ
เสียงหนึ่งบอกว่า นี่ไม่ใช่ชั้นแน่ๆ
ว่าแล้วก็เริ่มต้นเช้าวันนั้นด้วยการบรรจงเติมแต่งสีสันบนใบหน้า
อย่างน้อยข้างนอกสดใสไว้ก่อนก็ยังดี
และแล้ววันไม่ธรรมดาที่งงๆก็เริ่มต้นขึ้น
เริ่มจากทุกคนทักกันเกรียวว่าเกิดไรขึ้นทำไมเปลี่ยนอย่างนี้
ก็นึกในใจอยู่ว่า เอ้ยเป็นผู้หญิงน่ะเว้ย แต่งหน้ามั่งแปลกตรงไหนกันเนี่ยะ
ต่อด้วยคนขายหนังสือ ที่พูดส่งท้ายว่า "ให้ผมถือหนังสือไปส่งที่รถมั้ยครับ"
เดินชนของร้านเค้าล้มโคร่ม คนขายแทนที่จะด่า ดันพูดว่า
"หุ่นนี้เป็นอะไรคนสวยเดินมาใกล้ทีไรล้มทุกที"
เอ่อ เลยไม่รู้จะขอโทษรึต้องขอบคุณที่ชมดี
หรืออยู่ๆก็มีคนส่งขนมมาให้กิน เออก็ดีเหมือนกันประหยัด
กลายเป็นจุดเริ่มของการได้แจกขนมจีบกินฟรีบ่อยขึ้นเรื่อยๆในช่วงนี้
เจ๊บอกว่าแกอย่าดูถูกอำนาจอันนี้น่ะย่ะ
ไม่เห็นหรือว่าสวยไว้ก่อนสบายกว่าเป็นไหนๆ
คลีโอพัตราก็สอนไว้
นึกสงสัยว่ามนุษย์หนอ เรามีดวงตาไว้เพื่อเห็นอะไรบ้าง?
ยังไงก็ตาม ยังคงไม่คิดจะคบกับคนที่ชอบแค่มาสคาร่าบนขนตาของชั้นหรอกน่ะ
ลบออกก็เป็นหมวยหน้าจืดคนเดิมอยู่ดี
คนที่ใครๆเจอก็มักถามว่าน้องๆ เป็นทอมรึเปล่าครับ
หลายคนที่ทักว่าเปลี่ยนไป ก็พอเข้าใจ
แต่คุณคิดจริงๆหรือว่าเครื่องสำอางสามารถเปลี่ยนคนได้
ชั้นก็ยังเป็นคนๆเดิมและมีใจบางๆดวงเดิม
อะไรคือเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยน
สำคัญที่ใจไม่ใช่หรือ

วันอาทิตย์, ตุลาคม 29, 2549

จะทำไปทำไม๊

เมื่อวานไปดู Death Note ด้วยอาการแบบอยากดูแต่ก็กลัว เพื่อนใช้ตัวหนาๆของมันเป็นประกันว่าถ้าน่ากลัวกุให้ตื้บเลย ก็เลยเอาซะหน่อยอยากตื้บมัน
ดูจบแล้ว รู้สึกว่า
จะทำไปทำไม๊
สรุปแล้วไม่ประทับใจ แต่ก็ไม่เคยอ่านการ์ตูนที่เค้าว่าดีกันนักหนา แต่เท่าที่ดู ทั้งเนื้อเรื่อง คาแรกเตอร์ตัวละคร แบน แต่ ฉูดฉาด สมเป็นการ์ตูนญี่ปุ่น แต่ไม่สมควรจะเป็นหนังเอาซะเลย เหตุผลของการกระทำแต่ละอย่างไม่ให้ความรู้สึกว่าแสดงถึงเบื้องลึกในใจของตัวละครได้ โดยรวมแล้วไม่น่าประทับใจซักเท่าไหร่
อีกอย่างที่คิดว่า
จะทำไปทำม๊ายย
ไอ้ Death Note เนี่ยะ คิดไปแล้วน่าจะทำ Love Note น่าจะดีกว่า เขียนได้ว่าวันนี้ใครจะเจอใครปิ๊งใคร ให้ดอกไม้ใคร โลกสมบูรณ์แบบเพราะทุกคนมีความรักที่ดี ไม่มีใครผิดหวัง ไม่มีใครนึกอยากมาเป็นฆาตกรเพราะมัวแต่อินเลิฟ ดีม่ะ ถ้ามีจะขอซักเล่ม

วันเสาร์, ตุลาคม 28, 2549

The way they are.

Can you control The sun not to show?
Can you control The wind not to blow?
Can you control The river not to flow?
Can you control your hair not to grow?

Can you control flower not to bloom?
Can you control seed not to sprout?
Can you control yourself not to born?
Can you control yourself not to die?

None of them we can.
That's why we need a peace of our mind.

วันศุกร์, ตุลาคม 20, 2549

what a happy evening!

sister-brother-flower-picture-together
meeting-laughing-singing-healing-sharing

ps. thanks all of you guys for postcards
how sweet you all know i'm so glad when i got a postcard!

วันพฤหัสบดี, ตุลาคม 19, 2549

Different Delhi

beats in blood
super swinging indian beat

Delhi damn crowded!



so cute mosiac in haus kaus village



ganesh in indian paper mache version




snake is missing


best of the best indian food i have ever had!
at Gulati restuarant.
อร่อยสาด

a little bit of shopacholic gots into me


moring time


as good as it(we) gets

I'm luckier than kid labours who work 30 days a month and earn only 800 rupees.
I'm luckier than homeless who never know how it's feel like to sleep tight in bed.
I'm luckier than hungers who have to take left in a garbage just to keep themselve alive.
But one thing i feel. they're happy just as they're sad.

everybody is lucky
thankful for what we have and what we don't.

.

1/2 second I fell
1 inch we closed
10 skies we watched
100 times we laughed
1000 words we talked
10000 stars we counted
100000 miles we journeyed
is this endless number running to thy endless heart?
my question is not a question,
thy answer is.

วันจันทร์, ตุลาคม 09, 2549

SupEr NorMaL!!!

http://2021supernormal.wordpress.com/

ตื่นเต้นแบบสุดๆไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพี่ jasper กะพี่ naoto เค้าจะเปิดบล็อคร่วมกัน เป็นsuperblock จริงๆ ทุกท่านโปรดจับตามองให้ดี ตื่นเต้นๆๆ

วันเสาร์, ตุลาคม 07, 2549

10 things i love about my broken finger

1. ตอนนี้ก็มีอะไรให้ห่วงใยดูแลเป็นพิเศษ (เพราะกลัวมันเน่า ยังไม่อยากนิ้วด้วน)
2. แล้วก็เอาไว้อ้อนให้เพื่อนๆมาโอ๋ได้ด้วย อิอิ
3. จริงๆก็โรคจิตหน่อยๆ แอบรู้สึกสนุก ตื่นเต้นดี ทั้งๆที่เจ็บไม่ใช่น้อย นิ้วไม่หลุดก็บุญเท่าไหร่ ได้ร้องไป หัวเราะไปราวคนบ้า
4. ไม่ต้องสระผมบ่อยๆ ก็มันสระไม่ได้นี่มีแค่มือเดียวเอง
5. ได้ฝึกskill มือซ้าย ล้างหน้ามือซ้าย แปรงฟันมือซ้าย พรุ่งนี้ว่าจะลองเขียนขอบตาด้วยมือซ้ายดู
6. ไม่ต้องตอบคำถามเบสิคๆเวลาเจอคนว่า "เป็นไงมั่ง" แต่ได้ตอบคำถามว่า "นิ้วเป็นไรแทน"
7. ได้มุขอำคนไปเรื่อย เช่น "กุต้องตัดนิ้วทิ้งหว่ะ 55 " คนเชื่อด้วยขำจัง
8. เป็นเจ็บที่ทำให้ได้เห็นค่าของสิ่งที่มีอยู่ แต่ไม่เคยให้ความสำคัญ มันทำอะไรๆลำบากไปเยอะเลยน่ะเวลาขาดซึ่งนิ้วก้อยเนี่ย
9. ได้ทดสอบความแข็งแรงของกระดูกตัวเอง ไม่น่าเชื่อว่าปิดประตูรถกระแทกแรงจนสนิททับนิ้วทั้งนิ้ว คนอย่างข้าพเจ้ายังไม่แตกหักง่ายๆ แต่เจ็บนี่ เรียกว่าเจ็บจนพูดไม่ออก
10. ได้รู้ว่าที่เจ็บอยู่เนี่ยะ ไกลหัวใจอีกเยอะ5555555

วันพฤหัสบดี, ตุลาคม 05, 2549

My Man

Octavio Paz(1914-1998)
For further reading and biography : http://www.kirjasto.sci.fi/opaz.htm

วันอังคาร, ตุลาคม 03, 2549

And we meet again.

We used to sit together in class 14 years ago.
time what a mysterious of time
It never tell us what when or why
Get ourselves ready for every laugh and cry.

วันพฤหัสบดี, กันยายน 28, 2549

I am not a writer.

I am not a writer.
I just love to write .
I have no story to tell.
I tell storyless.
with my stubborn hand.
with my foolish heart.
with my brittle pencil.
with my unwhite paper.
with my imperfect language.
It become a perfect fusion,
they are united by their own words,
my storyless
I insist to write.

วันเสาร์, กันยายน 23, 2549

a fool of myself

The hour empties out.
The book tires me, and I close it.
I look, without looking, out the window.
My thoughts spy on me.
I think I'm not thinking.
Someone, on the other side, opens a door.
Perhaps, behind that door,
there is no other side.
Footsteps in the hall.
Nobody's footsteps : it is only the air
finding its way.
We never know
if we're entering or leaving.
...
by Octavio Paz

wwww.

What Was Won't Wait.
When Word Went Wasted.
Would Wind Wave Wall.
Wipe War Weave We.

วันเสาร์, กันยายน 16, 2549

cruising forever

cruising home so slowly without a step on a gas.
just to enjoy trees, electric lights, moon, fence, dog's shit, dark clouds and invisible air
and music can't missed !
start up with my most romantic Coltrane, My one and only love
continued jazzy ideal love song in Barry White version, Just the way you are
all time my sad love song, I wish you love
song of my past, Everytime when i'm alone
switch to Biological by air
Little space,the song that made me cry out loud
Mike Mills,played it again and again

I wish i could cruise like this forever.

--------------------------------------------
yesterday someone asked me why she love that loser? it doesn't make sense to him
May i answer by my favourite song..
Thousands of hairs
Two eyes only
Its you Some skin
Billions of genes
Again its you
XX XY
That's why it's you and me
Your blood is red It's beautiful genetic love
Biological
I don't know why
I feel that way with you
Biological
I need your DNA
Your fingerprints
The flesh, her arm, your bones
I'd like to know
Why all these things move me
Let's fuse ourselves to be as one tonight
Apart of me would like to travel in your veins
Biological
I don't know why I feel that way with you
Biological
I need your DNA
---
Biological by Air

วันศุกร์, กันยายน 15, 2549

me and you and everyone we know

me and you and everyone (do we really know?).
.
'I'm not following you'
...I'm a liar but i've got a crush on you...
.
'here we go'
...together or departs?...it's your choice...
.
'fuck fuck fuck'
...cry and cry...what a sensitive mind...
.
'me and you'
...can it be us ?...
.
'killing time'
...that's all? life life...

great soundtrack!

let's celebrate! 'kavita & trichak engagement' part 1

สวมแหวน

what a happy day! look at her face si


and so her family

let's celebrate! 'kavita & trichak engagement' part 2


"พี่แจ๊คค่ะ พี่แจ๊ครักป่านแค่ไหนค่ะ"
คุณตรีจักรเหงื่อแตกซิก อ้อมแอ้มๆ.." รักมากครับ"
วู้วๆ 2 ซองๆ


jib,kavita in white dress and me


ขอยืมแฟนเพื่อนมาควง



diamond are kavita's best friend



จักร แอน ย้วย


จักร แอน แย้


pink pink pink!!!

วันเสาร์, กันยายน 09, 2549

.

Kiss goodbye those things I took for granted.
In the newly day together we rot.
And now I'm standing in silence.
While we're continually changing,
Unending's ending what was begining.
So why we can't stop searching for that infinity.
It's here.
Shall I drown in this endless ocean?
Do you think it's too deep for the light to reach?
Will I see without sight?


ps. หลังจากคิดๆอยู่เกือบอาทิตย์ ก็ได้ฤกษ์ตัดสินใจลงมือ ละ เลิก การซั่มเนื้อสัตว์ซะที มื้อนี้เป็นมื้อที่สองแล้ว ระหว่างที่มือตักไข่เจียวเข้าปาก แต่ตามองแต่ลาบกะคอหมูย่างตลอดเวลา จะรอดมั้ยเนี่ยะ เป็นกำลังใจให้ข้าพเจ้าด้วย

กลอนเก่าเก็บ


Maybe it's the silence of the night
that makes me feel not quite alright.
But it isn't too bad cause you're here, my knight.
And silence turns out be something so right.
......
some day in 2003
ps. today i'm so confused...tired...a little bit of past attacked... shed a tear for present...have no clue about future.. sick of my own stupidity...feel not so good about my narrow mind...circle confusion...brick wall...writting letter which i'll never sent.
but sunset 's beautiful,
always

a tale

once upon a time,
there was a fish. let's call him just a fish because no one will notice him. physically, he is small ordinary fish. but something inside his brain is unearthly. he never stop wondering about the land, while for every other fishes the land is just a boundary. it must be something beyond what he knows about the land
one day he decided to leave his flock, heading to one small island in the south. it's quite a distance and also dangerous for a small fish.
days
nights
weeks
he tired, feeling lonely
but excited still
so he keeps on going against hundreds of waves.
the water begin to shallow
his fins couldn't move naturally
because it's already touch the sand beneath his fin
at that time he realised " how can i get on a shore? silly me"

how was the end of this tale ?
i got you choices

1 a fish swimming around for while and finally he turn back to where he came to his flock his sea his home he live the rest of his life happily as a fish could but he can't get his question about the land out of his head till his dying day.

2 a fish try and try to swim up to the island.days passed, his thin fins 'd been damaged and lose its' shape. he died in the sea at least he try his best! and he's known as the ancestor of "Andrias davidianus" or called "pla teen" a fish that can walk on the shore (don't take it too seriously i'm just a wanna be tale maker not charles darwin55)

3 a fish met sea witch who offer him a wish to live on the land but he can not turn back to the sea for good. he accept it and became a very first human on this planet. but after that he saw a bird flying in the air and curious how it feels like being up there. never enough for him. so he invented his own flying equipment immitated from bird's wings. in the end he dying of falling from a cliff.

4 you can make your own ending if you don't like one of mine 55

tell me your answer i'd like to know what's you guys thinking.
for me i like all...(because i wrote it my self 55)
i think one should do what one wants to do though it's not good in others' opinion
who care?

cheers,

วันเสาร์, กันยายน 02, 2549

one of a kind weekend trip - sra keaw

chill on a (small) hill

small creatures, look like human in wonderland called lalu


i'm a batgirl


my new sandal,sooo cute!


we found nature made sculpture in lalu,peaceful or drunk?


weird tree and its' flowers


silalang of sadolgoktom temple